ไรอัน กิ๊กส์ มิดฟิลด์ตัวเก๋า "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยืนยันว่าเลี่ยงได้ยากที่จะไม่กระทบกระทั่งกับกองเชียร์ "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในการฉลองประตูชัยเกมดาร์บี้แมนเชสเตอร์เมื่อวันอาทิตย์ เพราะกองเชียร์ทั้งสองทีมอยู่โซนติดกันจนเลี่ยงการเผชิญหน้าไม่ได้ และนักเตะก็ควบคุมตัวเองได้ยากในช่วงทดเวลาแบบนั้น พร้อมโยนความรับผิดชอบให้สโมสร ตำรวจ และเอฟเอ ที่ต้องเข้ามาดูแลเรื่องนี้

ไรอัน กิ๊กส์ กองกลางประสบการณ์สูงของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยักษ์ใหญ่ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ออกมาปกป้องพฤติกรรมการฉลองประตูของเพื่อนร่วมทีม หลังจากไปแสดงอาการดีใจใกล้กับบริเวณของแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จนทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน ในเกมดาร์บี้แมนเชสเตอร์ที่พวกเขาบุกไปชนะได้ 3-2 ที่อิติฮัด สเตเดี้ยม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา
 
หลังจาก โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ กองหน้าทีมชาติฮอลแลนด์ ซัดฟรีคิกเป็นประตูชัยให้ "ปีศาจแดง" ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ บรรดาผู้เล่นทีมเยือนก็ไปฉลองกันอยู่ใกล้บริเวณที่นั่งของแฟนบอลเจ้าถิ่น ก่อนที่ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ปราการหลังจอมเก๋า จะโดนเหรียญขว้างใส่หน้าจนเกิดแผลแตกเลือดไหล และยังมีแฟนบอล แมนฯ ซิตี้ คนหนึ่งพยายามวิ่งลงมาเอาเรื่องกับเขาด้วย
 
กิ๊กส์ ซึ่งอยู่ที่ม้านั่งสำรองตลอด 90 นาที กล่าวว่า "อย่างแรกที่มันยากที่ ซิตี้ เพราะแฟนบอลหัวรุนแรงของพวกเขาอยู่ติดกับกองเชียร์ของเรา เมื่อพวกเขาอยู่ใกล้กัน มันยากที่คุณจะฉลองอยู่แค่หน้าแฟน ยูไนเต็ด และเมื่อคุณทำประตูแบบนั้นได้ คุณจะควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ ในฐานะนักเตะ คุณอยากฉลองมัน ถ้าคุณทำประตูได้และเดินกลับไปที่วงกลมกลางสนาม แฟน ยูไนเต็ด จะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น"
 
มิดฟิลด์วัย 39 ปี โยนให้เป็นหน้าที่ของสโมสร, ตำรวจ และสมาคมฟุตบอล ที่ต้องจัดการไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก และเผยว่าเขาก็เคยเจอเหตุการณ์คล้ายๆ กันในเกมอื่น "นี่ไม่ใช่เหตุการณ์เดียว ผู้จัดการทีมเข้าใจดี ผมก็เคยโดนที่เชลซี ตอน ชิชาริโต้ (ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ) ทำประตูได้ มันเกิดขึ้น ผมคิดว่ามันยากเมื่อใครก็ตามโดนสิ่งของขว้างใส่หน้า"
 
"มันไม่ใช่แค่สโมสรเดียว ไม่ใช่แค่ ซิตี้ ไม่ใช่แค่ เชลซี แต่เกิดได้กับทุกสโมสร ความตื่นเต้นและความหลงใหลที่เราต้องการ แต่เราไม่อยากให้มันเกินขอบเขต ถ้าขยับไปอีกเซนติเมตรเดียว ริโอ อาจตาบอดได้ มันอันตรายจริงๆ เราไม่อยากเห็นแบบนั้น มันเป็นเรื่องของสโมสร ตำรวจ และเอฟเอ ที่จะทำทุกอย่างตามอำนาจของพวกเขาที่จะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก" อดีตกัปตันทีมชาติเวลส์ ร่ายยาว