ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » ฟุตบอลไทย » Close Up: แชมเปี้ยนส์ ลีก (ในวงเล็บ)

Close Up: แชมเปี้ยนส์ ลีก (ในวงเล็บ)

Posted 05/04/2013 by goal.com

 

นี่คือบทความที่มาจากความคิดเห็นส่วนตัวของเอดิเตอร์นอกคอกแห่งโกล ประเทศไทย กับการมองภาพกว้างๆ ถึงเกมเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีกของสองทีมยักษ์ใหญ่แดนสยาม (ว่ายังมีอะไรในวงเล็บอีกเยอะ)

ภาพเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศจีนเมื่อวันสองวันที่ผ่านมา เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เราเห็นอย่างดี ถึงความ “Too Young To Die” ของทีมฟุตบอลชั้นนำแห่งสยามประเทศทั้งสองทีม อันได้แก่ “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ “กิเลนผยอง” เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด


เอสซีจี เมืองทองฯ ในฐานะ "เต้ย" และ "แชมป์ไร้พ่าย" จากแดนสยาม อาจต้องทำงานหนักหน่อยบนเวทีเอเชียที่พวกเขาถวิลหามาตั้งแต่ซีซั่นที่แล้ว

อนึ่ง ผมต้องเรียนก่อนอย่างสุดซึ้งในฐานะคนไทย ว่าผมต้องเชียร์ทีมจากไทยแลนด์ แดน ออฟ สไมล์ อยู่แล้ว (ก่อนที่ท่านผู้อ่านหลายท่านจะพากันเกลียดขี้หน้าและหาว่าผมไม่รักชาติ (ผมจะบอกให้ว่าผมรักชาติสุดๆ เลย (ยินดีรับใช้ชาติ (ด้วยการสมัครเป็นทหาร (แต่บังเอิญว่ามันเต็มน่ะ))))) และทั้งบุรีรัมย์ฯ กับ เอสซีจี เมืองทองฯ ก็ถือว่าเป็น 2 สโมสรที่มีความเพียบพร้อมด้วยรูปชั้นวรรณะที่สุด ในการไปโบยบินบนเวทีใหญ่ พิสูจน์ฝีเท้ากันชนิดเต็มรูปแบบกับยอดทีมเขี้ยวลากดินจากถิ่น “เต้ย” ทั้งหลายแห่งเอเชีย
"จากที่สู้กันแบบช้างชนช้าง ยักษ์ชนยักษ์ ในไทยลีก..
เราเพิ่งกลายเป็นแมวน้อยคิตตี้ที่โดนทั้งเสือโหยจอมขมังเวทย์หลายแหล่จ้องตะปบอย่างเอ็นดู"

ผ่านไป 3 นัด เราเริ่มเห็นความสะบักสะบอมของ “กิเลนผยอง” และความสาหัสของ “ปราสาทสายฟ้า” ชัดเจนขึ้น ระดับชั้นของ “แชมเปี้ยนส์ ลีก” แสดงให้เห็นทันทีว่ามาตรฐานของไทยอยู่ตรงไหน และมันกลายเป็นเพียงมหกรรมรับน้องใหม่แบบโซตัสสุดโหดไปโดยปริยาย ซึ่งผมคงจะไม่ขอพูดเรื่องฟอร์มการเล่นหรือระบบระเบิบอะไรให้มากความ เพราะเชื่อว่าทุกคนก็ต่างมีความคิดอยู่ในใจแล้วว่า "ทีมจากไทย ทำได้ยอดเยี่ยมแค่ไหนบนเวทีแห่งนี้ (ไม่มีพี่เลี้ยงมาคอยเสี้ยมสอน) ?"

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเริ่มเข้าใจ (และเชื่อว่าใครอีกหลายท่านก็คงจะเห็น) คือจากที่สู้กันแบบช้างชนช้าง ยักษ์ใหญ่กลาซิโก้ บลา บลา บลาในไทยลีก เราเพิ่งกลายเป็นแมวน้อยคิตตี้ที่โดนทั้งเสือโหยจอมขมังเวทย์หลายแหล่จ้องตะปบอย่างเอ็นดู

เอากันตรงๆ แล้วมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรหรอกครับ และก็ไม่ผิดเพี้ยนมากนักหากกูรูอีกหลายสำนักจะยังมองไปถึงโอกาสเข้ารอบ (โดยอาศัยความได้เปรียบต่างๆ ตามตำรา) ซึ่งผมเองก็ต้องออกตัวล้อฟรีก่อน (อีกแล้ว) ในการเอาใจช่วยการพลิกสถานการณ์ครั้งนี้เป็นที่สุด เพราะเราเองยังมีโอกาสใช้ความ “ร้อนชิบผาย” ของเมืองไทยให้เป็นประโยชน์ (ในเมื่อประเทศอื่นใช้ “สภาพอากาศที่หนาวเหน็บ” กันดีนัก) รวมทั้งสเตเดี้ยมขนาดอบอุ่นกำลังดี (ในเมื่อประเทศอื่นใช้ “สเตเดี้ยมหรูหรา 80,000 ที่นั่ง” กันดีนัก) ในการสร้างความแตกต่างบ้าง เราน่าจะได้เปรียบสุดๆ


บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่มีประสบการณ์บนเวทีนี้มา 1 ปี ยังคงต้องลุ้นหนักเช่นกัน หากอยากสร้างประวัติศาสตร์ให้สโมสรเรื่องเกมลูกหนังถ้วยใหญ่เอเชีย

ถึงชั่วโมงนี้ ไม่ว่า “เรา” (ขออนุญาตแทนทั้งสองทีมว่า “เรา” เลยละกันนะครับ) จะฝ่าด่านหฤหรรษ์รอบแบ่งกลุ่มในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีกครั้งนี้ไปได้หรือไม่ก็ตาม ผมคิดว่าเราก็ควรยินดีและปรีดาเป็นอย่างยิ่งแล้ว กับการเดินหน้ายกระดับฟุตบอลเมืองไทย (ให้ไปอยู่เกรดแชมเปี้ยนส์ ลีกเร็วกว่าที่คิดไว้เยอะ) สู่สากล การได้ออกไปสู่โลกกว้างเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านฟุตบอลกับยอดแข้งแถวหน้าของทวีป (ซึ่งอาจหมายถึงแถวหน้าของโลกในบางราย), การทำทีมของเทรนเนอร์หัวกะทิ, การได้สวิตช์กลับไปใช้ฟุตบอลไนกี้ในการแข่งขัน (อุ๊ปส์!), การบริหารจัดการของสโมสรยักษ์ใหญ่, เดินทางสู่ประเทศชั้นนำของเอเชีย (และที่สำคัญที่สุดคือได้ไปเล่นหิมะของจริง) ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ทั้งสโมสรของเราและพี่น้องชาวไทยที่ติดตามอยู่นั้นได้รับค่า EXP ไปแบบเต็มๆ เปิดโลกทัศน์ทางความคิดให้ตื่นตาตื่นใจกันอย่างที่สุด (จะเวอร์ไปไหน?)

แต่ถ้าถามผม (ในความโง่เขลาของผู้เขียน) ผมก็ยังคิดเสมอว่าเกมอย่างเอเอฟซี คัพ น่าจะยังเป็นถ้วยที่มีลุ้นและสามารถเป็นสนามฝึกปรือวิชาได้อย่างดี ก่อนที่จะก้าวไปสู่ประชาคมเอเชียนขั้นบนสุด และถึงแม้ว่าเราจะเคยก้าวไปอยู่จุดสูงสุดด้วยตำแหน่งรองแชมป์เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีกในปี 2003 (กับสโมสรบีอีซี เทโรศาสน ในขณะนั้น) แต่กับวันนี้ “มาตรฐาน” ของทุกชาติเขาวิ่งแซงหน้าเราไปเยอะแล้ว (ซึ่งเมื่อมองกลับกัน เรายังมานั่งปรับเงินค่าวิจารณ์ผู้ตัดสินกันอยู่เลย, อุ๊ปส์) การให้เกรดและโควต้าของประเทศไทยในฐานะสมาชิกเอเอฟซี จึงน่าสนใจว่าควรจะมีเลเวลให้ได้ทดลองลุยเกมอย่างเอเอฟซี คัพเพิ่มเข้ามาด้วย (อย่างน้อยก็ให้ได้บู๊กับชาติอาเซียนกันบ้างสักหน่อย ให้หายคิดถึงก็ยังดี)


เผื่อใครยังไม่รู้ ในฐานะตัวแทนประเทศ เราเคยไปได้ไกลสุดถึงรอบชิงชนะเลิศเกมแชมเปี้ยนส์ ลีกมาแล้ว กับผลงานของบีอีซี เทโรศาสนในปี 2003!

และกับผลงานเมื่อปีที่แล้ว ทัพ “ฉลามชล” ทำได้ถึงขั้นทะลุเข้ารอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ ก่อนจะมาแพ้อย่างทุลักทุเลให้กับอาร์บิล เอสซี ยอดทีมจากอิรัก ซึ่งหากเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ ผมว่า “กิเลนผยอง” กับ “ปราสาทสายฟ้า” มีลุ้นถึงแชมป์ได้เลยทีเดียว สำหรับทีมในเลเวลเอเอฟซี คัพ (ซึ่งถ้าจะให้พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ กับแชมเปี้ยนส์ ลีก อาจยังดูเลือนรางไป)

อย่างไรก็ตาม เกมยังไม่จบผมคงไม่กล้านับศพทหาร และภาวนาอย่างยิ่งขอให้สิ่งที่ผมคิดเป็นเรื่องผิด เอาเป็นว่าในจำนวนนัดที่เหลือ ทั้งเอสซีจี เมืองทองฯ และบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่จะทำได้ พาเราไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ไกลที่สุดให้ได้นะ ทั้ง “ปราสาท” และ “กิเลน”

สู้ต่อไปนะ..ทุกคน (ทั้งสองทีมหันหลังให้กล้อง ภาพแบ็คกราวด์เป็นพระอาทิตย์กำลังตก ท้องฟ้าสีส้ม...มีประกายระยิบระยับจากท้องฟ้า)

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »