เอียน แอร์ ผู้บริหารระดับสูงของ ลิเวอร์พูล ระบุ ทีมขาดทุน 49.8 ล้านปอนด์ ในปีงบประมาณล่าสุด แต่หนี้ก็ลดลงบานเบอะ ซึ่งนี่นับเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า "หงส์แดง" กำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง

เอียน แอร์ กรรมการผู้จัดการของ ลิเวอร์พูล ยอดสโมสรแห่งเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประกาศเมื่อวันอังคารที่ 4 มีนาคม ที่ผ่านมาว่า ในปีงบประมาณล่าสุดนั้น พวกเขาขาดทุนเป็นเงินเกือบ 50 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,500 ล้านบาท) แต่ในด้านหนี้สินนั้นมีจำนวนลดลง

ตัวเลขสำหรับปีงบประมาณล่าสุดซึ่งนับถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2013 นั้น แสดงให้เห็นว่า "หงส์แดง" ขาดทุนไป 49.8 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,490 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากเมื่อ 10 เดือนก่อนถึง 9.3 ล้านปอนด์ (ประมาณ 465 ล้านบาท) ด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม หนี้ต่างประเทศของพวกเขานั้นก็ลดลงถึง 29 เปอร์เซ็นต์ จนอยู่ที่ 45.1 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,255 ล้านบาท) จากผลประกอบการทั้งหมดซึ่งอยู่ที่ 206.1 ล้านปอนด์ (ประมาณ 10,305 ล้านบาท) ขณะที่รายได้ก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อๆ นับตั้งแต่ที่ เฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป (เอฟเอสจี) เข้ามาเทคโอเวอร์ทีมในเดือนตุลาคม 2010 ซึ่งในช่วงนั้นหนี้สินของทีมพุ่งสูงถึงเกือบ 200 ล้านปอนด์ (10,000 ล้านบาท)
สำหรับรายได้จากการค้านั้น เพิ่มขึ้นจาก 63.9 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,195 ล้านบาท) ไปเป็น 97.7 ล้านปอนด์ (ประมาณ 4,885 ล้านบาท) ส่วนรายได้ทางสื่อเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 62.8 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,140 ล้านบาท) เป็น 63.8 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,190 ล้านบาท) ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านบริหารอยู่ที่ 213.1 ล้านปอนด์ (ประมาณ 10,655 ล้านบาท) สูงกว่าเดิมซึ่งอยู่ที่ 176.5 ล้านปนด์ (ประมาณ 8,825 ล้านบาท)

ทั้งนี้ แอร์ กล่าวผ่านเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสโมสรว่า หนี้ที่ลดลงเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า สโมสรกำลังเดินหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว "ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงทางการเงินของสโมสรที่ยังคงก้าวหน้าไปได้ด้วยดี ในขณะที่เรายังเดินหน้าเปลี่ยนสโมสรทั้งในและนอกสนาม"

"ตลอด 4 หรือ 5 ปีหลังสุด รายได้ของเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากราว 170 ล้านปอนด์ (ประมาณ 8,500 ล้านบาท) ในปี 2009 จนตอนนี้ถึงขั้นมากกว่า 200 ล้านปอนด์แล้ว และหนี้ต่างประเทศก็ลดลงจนเหลือไม่ถึง 50 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,500 ล้านบาท) แล้วด้วย"

"ด้วยการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากกลุ่มทุนเจ้าของทีม เราจึงได้เดินหน้าอย่างระมัดระวังเพื่อทำให้สโมสรอันยอดเยี่ยมนี้กลับไปมีความมั่นคงทางการเงินอีกครั้ง ด้วยการทำให้มั่นใจว่า โครงสร้างทั้งในและนอกสนามจะมีขึ้นอย่างเหมาะสม ระหว่างช่วงปีงบประมาณล่าสุด เราคว้านักเตะมาร่วมทีม 6 คน อาทิเช่น แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์, ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ และ โจ อัลเลน นอกจากนี้ เรายังต่อสัญญากับนักเตะ 7 คน เช่น แดเนี่ยล แอ็กเกอร์, มาร์ติน สเคอร์เทล, มาร์ติน เคลลี่, ลูคัส เลว่า และ ราฮีม สเตอร์ลิง ด้วย"

 "เราเพิ่มจำนวน และความแข็งแกร่งให้ขุมกำลัง พร้อมกับพัฒนาดาวรุ่งฝีเท้าดีไปด้วย ขณะที่มีการขายนักเตะไป 9 คน และปล่อยยืมอีก 8 ราย ตัวเลขทางการเงินอันนี้มันเป็นอันที่สิ้นสุดลงเมื่อ 18 เดือนก่อน และเราก็ยังคงพัฒนาอยู่เรื่อยๆ"

"ความสัมพันธ์ที่ดีของเรากับพันธมิตรปัจจุบัน เราเซ็นสัญญาฉบับใหม่กับ สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด, การูด้า และ คาร์ลส์เบิร์ก อีกทั้งยังเพิ่งประกาศพันธมิตรรายใหม่อีก 5 รายที่ให้การรับรองความนิยมในระดับโลกของแบรนด์ แอลเอฟซี ด้วย"

 "เรายังคงลงทุนในด้านดิจิตอล และทีวี รวมถึงเพิ่งประกาศพันธมิตรด้านโทรทัสน์รายใหม่อีก 9 ราย จนทำให้แฟนบอลหลายล้านคนทั่วโลกได้ดูเกมของ ลิเวอร์พูล และรายการพิเศษได้ นอกจากนี้ เรายังมีความก้าวหน้าที่ดีในการยื่นข้อเสนอขอขยาย แอนฟิลด์ ด้วย การตัดสินใจขั้นสุดท้ายจะยังคงยึดอยู่บนหลักบางอย่าง ถึงกระนั้น จากการที่สภาเมืองลิเวอร์พูล, ยัวร์ เฮ้าส์ซิ่ง กรุ๊ป และ แอลเอฟซี เพิ่งทำงานร่วมกันได้เพียง 16 เดือนเท่านั้น ัมนก็ถือว่าความคืบหน้าเป็นไปด้วยดีสุดๆ"

"เมื่อพิจารณาถึงสถานะของ ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ เมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้นั้น การพัฒนาที่ทำได้นับตั้งแต่ที่ เอฟเอสจี เข้ามาซื้อสโมสร ก็ทำให้สโมสรกลับไปมีความมั่นคงที่จำเป็น พร้อมกับมีวิสัยทัศน์ที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานไปพร้อมๆ กัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญ ผมอยากขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้องในการบริหารสโมสร ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของทีม, แฟนบอล, พันธมิตร, นักเตะ และสตาฟฟ์ ที่ทำงานอย่างหนัก และทุ่มเทให้ทีมอย่างเต็มที่" แอร์ ร่ายยาว