มานูเอล เปเยกรีนี่ กุนซือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พอใจ "เรือใบสีฟ้า" เปิดบ้านไล่ทุบ เซาธ์แฮมป์ตัน 4-1 ยันตอนนี้พร้อมแล้วสำหรับการเตรียมตัวไปลุยกับ ลิเวอร์พูล ในสัปดาห์หน้า ขณะที่ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ นายใหญ่ "นักบุญ" บ่นอุบลูกสองของเจ้าถิ่นล้ำหน้าแน่นอน แต่ไลน์แมนกลับไม่ยอมยกธง ทำให้เกมเปลี่ยนทันที

มานูเอล เปเยกรีนี่ ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พอใจผลงานของลูกทีม หลังเปิดรัง เอติฮัด สเตเดี้ยม ไล่ต้อน เซาธ์แฮมป์ตัน ขาดลอย 4-1 ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันเสาร์ที่ 5 เมษายน ที่ผ่านมา และพร้อมที่จะเดินหน้าทำศึกนัดสำคัญกับ ลิเวอร์พูล ในสัปดาห์หน้าแล้ว

เกมเริ่มต้นได้ 2 นาที เอดิน เชโก้ พาบอลบุกเข้ามาทางฝั่งซ้ายของเขตโทษทีมเยือน แล้วโดน โชเซ่ ฟอนเต้ รวบล้มลง กรรมการเป่าเป็นจุดโทษทันที และ ยาย่า ตูเร่ ก็ซัดเข้าไปตุงตาข่ายให้ "เรือใบสีฟ้า" นำ 1-0 จากนั้นในนาทีที่ 36 เซาธ์แฮมป์ตัน มาได้ลูกจุดโทษคืน และเป็น ริคกี้ แลมเบิร์ต สังหารไม่เหลือ สกอร์เป็น 1-1

ผ่านมาถึงช่วงทดเจ็บของครึ่งแรก เจ้าบ้านมาได้ประตูที่สองจากจังหวะที่ ดาบิด ซิลบา หลุดไปจ่ายต่อให้ ซามีร์ นาสรี่ แปผ่านมือ เปาโล กาซซานิก้า ไม่เหลือ เจ้าบ้านนำอีกครั้ง 2-1 ก่อนที่อีกไม่กี่อึดใจจะหนีห่างเป็น 3-1 จากลูกโหม่งของ เชโก้ จนผ่านมาถึงนาทีที่ 80 "เรือใบสีฟ้า" ได้ประตูตอกฝาโลง 4-1 จาก สเตฟาน โยเวติช และจบเกมไปด้วยสกอร์นี้ ทำให้ แมนฯ ซิตี้ แซง เชลซี ขึ้นไปยึดอันดับ 2 ชั่วคราว และตามหลัง ลิเวอร์พูล แค่ 1 แต้ม แถมแข่งน้อยกว่า 1 นัดด้วย

เปเยกรีนี่ เผยหลังเกมว่า "ผมจำไม่ได้ว่า โจ ฮาร์ท มีจังหวะเซฟสำคัญหรือเปล่า พวกเขาครองบอลได้ แต่ไม่มีโอกาสทำประตูจะๆ เลย ตอนนี้เรามีเกมสำคัญกับ ลิเวอร์พูล รออยู่ เราต้องรอดูกันต่อไปถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น มันยังมีเวลาอีกมากเพื่อเตรียมความพร้อม อย่างไรก็ตาม ผมไม่คิดว่า เกมนั้นจะเป็นตัวตัดสินแชมป์ พรีเมียร์ลีก"

ด้าน เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ กุนซือ "นักบุญ" ชี้ว่า ประตูที่สองของ "เรือใบสีฟ้า" เป็นลูกล้ำหน้าแน่นอน แต่ผู้ช่วยผู้ตัดสินกลับไม่ยอมยกธง ส่งผลให้เกมพลิกผันเข้าทางเจ้าถิ่น และสุดท้ายทีมของตัวเองก็เป็นฝ่ายแพ้ไปอย่างขาดลอย

"การกระทำของไลน์แมนในประตูที่สองของพวกเขาฆ่าเกมไปเลย ไลน์แมนเป็นคนทำให้เกมจบ ชัดเจนว่า ประตูที่สองเปลี่ยนแปลงเกม เราเหนือกว่าก่อนจังหวะนั้น เราสามารถครองเกมตอนนั้น แต่มันไม่มีความสำคัญเลยหลังจากนั้น มันฆ่าเกมให้จบทันที" โปเช็ตติโน่ กล่าวในที่สุด