ฮอลแลนด์ ชนะ สเปน 5-1
  นี่คือการรีแมตช์จากรอบชิงชนะเลิศเมื่อปี 2010 ซึ่งตอนนั้น สเปน ชนะ 1-0 และก็ดูเหมือนทัพ "กระทิงดุ" จะไปได้สวยในเกมนี้เมื่อขึ้นนำก่อน 1-0 จากการสังหารลูกโทษเข้าไปของ ชาบี อลอนโซ่ นาทีที่ 27 ทว่า ฮอลแลนด์ ก็ตีเสมอได้จากการพุ่งโหม่งของ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ นาทีที่ 44 ก่อนที่ "อัศวินสีส้ม" จะมากระทุ้งรวด 4 ตุงจาก อาร์เยน ร็อบเบน นาทีที่ 53, สเตฟาน เด ฟรีจ์ นาทีที่ 67, ฟาน เพอร์ซี่ นาทีที่ 72 และ ร็อบเบน นาทีที่ 80 จบเกมแชมป์เก่าประเดิมศึกฟุตบอลโลก 2014 ด้วยการแพ้ช็อกโลกถึง 1-5
 
  โดยหลังเกม หลุยส์ ฟาน กัล ออกมาเปิดใจว่า เจ้าตัวไม่ได้คาดหวังกับผลการแข่งขันที่ถล่มทลายแบบนี้ เพียงแต่บอกลูกทีมให้จัดการพวกเขาด้วยการเล่นแบบสวนกลับ ซึ่งลูกทีมของผมทำผลงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ มันเป็นฟอร์มที่ดีกว่าที่ผมคาดคิดเอาไว้ด้วยซ้ำ

 
  ฮอลแลนด์ ชนะ ออสเตรเลีย 3-2 
  เกมในครึ่งแรกจบลงด้วยการเสมอกัน 1-1 แต่พอเข้าสู่ครึ่งหลัง หลุยส์ ฟาน กัล ก็มองอะไรบางอย่างออกและจัดการเปลี่ยนจากระบบ 5-3-2 ไปใช้ 4-3-3 ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะแม้ว่า มิเล่ เยดินัค จะยิงจุดโทษให้ ออสเตรเลีย ขึ้นนำเป็น 2-1 แต่ "อัศวินสีส้ม" ก็มาได้ประตูจาก โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ และ เมมฟิส เดปาย ในนาทีที่ 58 กับ 68 ตามลำดับ จนส่งผลให้รองแชมป์โลกเมื่อ 4 ปีก่อน เก็บไป 6 แต้มเต็ม จากการลงเล่น 2 นัด

 
  ฮอลแลนด์ ชนะ ชิลี 2-0
  ทั้งสองทีมสู้กันอย่างสูสีในช่วงครึ่งแรก ก่อนที่ ฟาน กัล จะเลือกเปลี่ยนตัว ลีรอย เฟอร์ และ เมมฟิส เดอปาย ลงมาแทน เวสลี่ย์ สไนเดอร์ และ เยเรเมน เลนส์ ตามลำดับในช่วงกลางครึ่งหลัง และก็เป็น เฟอร์ กับ เดอปาย ที่กลายเป็นตัวทีเด็ดตัดสินเกมเมื่อจัดการทำคนละประตูช่วยให้ ฮอลแลนด์ คว้าชัยชนะ 2-0 พร้อมปิดฉากด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม บี รอพบกับรองแชมป์กลุ่ม เอ ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
 
 
  ฮอลแลนด์ ชนะ เม็กซิโก 2-1
  โจวานี่ โดส ซานโต๊ส ซัดประตูให้ เม็กซิโก ออกนำไปก่อนในนาทีที่ 48 หลังจากนั้น ฮอลแลนด์ เปิดเกมบุกแบบไม่กลัวอากาศร้อนแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จนนาทีที่ 76 เทรนเนอร์จอมแท็คติก ตัดสินใจเปลี่ยนเอา โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ กัปตันทีมออกและส่ง คลาส ยาน ฮุนเตลาร์ ลงไปแทน


 และก็เห็นผลเมื่อ ดาวยิงจากชาลเก้ 04 โหม่งตั้งกลับมาให้ เวสลี่ย์ สไนเดอร์ ซัดเต็มข้อหน้ากรอบเขตโทษส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าวอย่างสวยงามก่อนหมดเวลา แค่ 2 นาที จากนั้นในช่วงทดเจ็บนาทีสุดท้าย อาร์เยน ร็อบเบน โดนทำฟาวล์ในเขตโทษ และเป็น คลาส ยาน ฮุนเตลาร์ ที่สังหารจุดโทษไม่เหลือซาก ส่งทัพดัตช์ทะลุรอบก่อนรองชนะเลิศอย่างสุดยอด

 
  ฮอลแลนด์ เสมอ คอสตาริกา 0-0 (ฮอลแลนด์ ชนะจุดโทษ 4-3)
  ตลอดทั้งเกมเป็นทัพอัศวินสีส้มที่เป็นฝ่ายครองบอลบุกเข้ากดดันตลอดทั้งเกม มีจังหวะยิงถึง 20 ครั้ง แถมชนคาน 2 ครั้ง และ ชนเสาอีก 1ครั้ง แม้ท้ายสุดทัพกังหันสีส้มจะไม่สามารถเจาะแนวรับของทีมกล้วยหอมได้ ทั้งในเวลา 90 นาที และในช่วงต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 120 นาที จนต้องไปตัดสินด้วยการดวลจุดโทษก็ตาม
 
  แต่กุนซือมากประสบการณ์ก็โชว์การเปลี่ยนตัวอีกครั้งด้วยการส่ง ทิม ครูล ผู้รักษาประตูมือสองลงไปแทน แจสเปอร์ ซิลเลสเซ่น นายด่านวัย 25 ปี จากอาแจ็กซ์ ที่มีขนาดส่วนสูงและการเจอเกมใหญ่ๆที่น้อยกว่า นายทวารสังกัดนิวคาสเซิ่ล ในช่วงของการดวลจุดโทษ
 
  และก็เป็นไปตามคาด เมื่อ ทิม ครูล จัดการหยุดลูกยิง ไบรอัน รุยซ์ และ ไมเคิ่ล อูมานย่า สองดาวเตะตัวเก๋าของทีมไว้ได้แบบเด็ดขาด พร้อมกับพารองแชมป์โลกปี 2010 ทะลุผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้แบบสุดยอด
 
  โดยในรอบต่อไป ทัพอัศวินสีส้มจะผ่านเข้าไปพบกับ "ฟ้าขาว" อาร์เจนตินา อดีตแชมป์โลก 2 สมัย คู่ต่อกรที่มองว่าหินที่สุดที่เจอมาตั้งแต่รอบแรก เพราะต้องเล่นบนแผ่นดินอเมริกาใต้อีกด้วย ซึ่งที่ผ่านมาจากสถิติเก่าๆทีมจากยุโรปไม่เคยประสบความสำเร็จเลยบนดินแดนลา ติน แต่กับชายที่ชื่อ หลุยส์ ฟาน กัล ยังคงมองว่าเป็นไปได้เสมอ "เป้า หมายของเราคือการคว้าแชมป์โลก เราเป็นทีมที่ยากที่ใครจะเอาชนะได้ เราไม่ได้วิเศษวิโสมาจากไหน แต่ก็ยากที่จะแพ้ใครเหมือนกัน เราไม่ประมาทคู่แข่ง เราจะเล่นด้วยความมุ่งมั่น ความเชื่อ และศรัทธาอย่างแน่นอน"