1) ดราม่ายิ่งกว่า เดอะ ว้อยซ์ (โอมร้องดี แต่ผู้ชนะคือฟาร์ม) 

         จริงอยู่ กว่าที่จะมีประตูเกิดขึ้นต้องรอในครึ่งเวลาหลัง แต่มันก็เป็นอะไรที่กระชากหัวใจไปๆ มาๆ เหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงเจ็ดนาทีสุดท้ายที่มีถึงสี่ลูก

         ริชาร์ด ดันน์ ผู้โชคร้าย ทำเข้าประตูตัวเองก่อนจบเกมในขณะเหลืออีกราว 20 นาทีจะจบเกม สงเคราะห์ให้ "หงส์แดง" นำ 1-0 ก่อนจะมีเรื่องราวดราม่าเกิดขึ้นตามมาอีกมากมาย

         "ทหารเสือราชินี" โชว์สปิริตไล่บดตีเสมอได้ถึงสองครั้งสองคราจากตัวสำรอง เอดูอาร์โด้ วาร์กาส หลัง ฟิลิปป์ คูตินโญ่ ส่องให้ ลิเวอร์พูล นำพักเล็กๆ

         เด็กๆ ของกุนซือ แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ น่าจะได้หนึ่งแต้มเป็นอย่างน้อย แต่กลับต้องมือเปล่าอย่างเหลือเชื่อ จากการทำเข้าประตูตัวเอง (อีกครั้ง) ของ สตีเว่น คอลเกอร์ ในขณะที่เหลืออีกแค่ไม่กี่อึดใจ

         บางที ริชาร์ด สคูดามอร์ ผู้บริหารพรีเมียร์ลีก อาจพูดถูกที่บอกว่า นี่คือลีกที่ดีที่สุดในโลก

2) โรนัลโด้, เบล แอนด์ เดอะ แก๊ง เตรียมเฮได้เลย หากแนวรับหงส์ยังสะเปะสะปะแบบนี้
 

         ผลงานการเซฟมือเป็นระวิงในครึ่งแรกของ ซิมง มินโยเล่ต์ ทำให้แฟนหงส์รู้สึกว่า ไม่เห็นจำเป็นเลยที่สโมสรต้องไปเอา บิคตอร์ บัลเดส, อิเกร์ กาซียาส หรือ กิโก้ กาซิลล่า

         มือหนึ่งแห่ง แอนฟิลด์ ออกมาตัดลูกครอส รวมถึงเซฟสุดๆ ได้อย่างเฉียบขาด

         แต่ก็นั่นแหละ มองอีกแง่ แนวรับของ "หงส์แดง" ไม่ควรต้องปล่อยให้ทีมอย่าง คิวพีอาร์ สร้างความหวาดเสียวได้มากขนาดนี้

         การสื่อสารของ มาร์ติน สเคอร์เทล ยังไม่ค่อยลื่น ขณะที่ชั้นเชิงของเจ้าตัว ก็ยังทำให้แฟนๆ ต้องลุ้นตัวโก่ง และที่น่าถอนใจคือ เกล็น จอห์นสัน ที่ทำความเร็วหายไปเกือบหมด จนไม่น่ามีชื่อลงสนาม

         หากแนวรับ ลิเวอร์พูล ยังเล่นได้แค่นี้ ในคืนวันอังคารที่มีคิวเจอกับ เรอัล มาดริด ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มีหวัง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับ แกเร็ธ เบล คงได้เปิดการแสดงโชว์แน่เทียว

3) บาโล ยังห่าง ซัวเรซ
 

         บางที การจดจ้องไปที่ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ในแนวรุก อาจทำให้หลายคนหลงลืมไปว่า คนที่ต้องแบกความหวังในการล่าตาข่ายของ ลิเวอร์พูล หลังจาก หลุยส์ ซัวเรซ ย้ายออกไปคือ มาริโอ บาโลเตลลี่

         โอเค แฟนๆ หงส์แดง ส่วนใหญ่ ทำใจตั้งแต่ตอนสโมสรซื้อ "บาโล" เข้ามาแล้วว่า ไม่มีใครสามารถแทนใครได้ แต่คงไม่คิดว่า ดาวยิงทีมชาติอิตาลีจะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้

         สิ้นหวัง, ดื้อด้าน และเอาแต่ใจตัวเองอย่างร้ายกาจ ที่สำคัญ เขาเล่นโดยไม่ยอมพกความมั่นใจลงสนามไปด้วย พยานปากเอกคือการทำหมูหกหน้าประตูในครึ่งหลัง

         จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ทำทุกวิถีทางเพื่อปั้น บาโลเตลลี่ จากกลางสนาม แต่ดาวยิงผิวหมึก เล่นเหมือนไร้ใจ และเห็นแก่ตัว จนดูเหมือนความพยายามของเพื่อนๆ จะสูญเปล่า

         ใครที่เคยหัวเราะลั่นตอนที่ แดนนี่ เวลเบ็ค ถูก อาร์เซน่อล ซื้อไปด้วยราคาเท่ากันคงต้องคิดใหม่

4) ทีมของจ่าแฮร์รี่ น่าจะมีหนึ่งแต้มเป็นอย่างน้อย

         กุนซือจอมเก๋าอย่าง แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ อาจกำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่เขาแสดงให้โลกได้เห็นว่า พยายามสู้อย่างเต็มที่แล้ว

         การส่งกองหน้าลงสนามเป็นตัวจริงถึงสองราย บอกเราว่า จ่าแฮร์รี่ ไม่กริ่งเกรงศักดิ์ศรีรองแชมป์เก่าเลย และพวกเขาก็ตอกย้ำเจตนารมณ์ของเจ้านายใหญ่ ด้วยการไล่ขย่มผู้มาเยือนตั้งแต่สิ้ยเสียงนกหวีดแรก

         ชาร์ลี ออสติน กับ บ๊อบบี้ ซาโมร่า ประสานงานกันอย่างไหลลื่นในแดนหน้า ส่วนกลางสนาม ลูกน้องของ เร้ดแน็ปป์ ก็ทำงานหนัก ไล่ล่าบอล และบีบห้องเครื่อง "หงส์แดง" จนถึงที่สุด

         "ทหารเสือราชินี" โชว์ลูกฮึดให้เห็นถึงสองครั้งในช่วงท้าย เมื่อ วาร์กาส ยิงตีเสมอ ลิเวอร์พูล สองหน ก่อนทีมเยือนจะได้ประตูชัยในวินาทีสุดท้ายของเกม

5) ริชาร์ด ดันน์ คือจอมยิงตัวเอง

         ริชาร์ด ดันน์ สร้างประวัติศาสตร์ที่ตัวเองคงไม่ต้องการ เมื่อพังประตูตัวเองเป็นลูกที่ 10 เข้าไปแล้วในพรีเมียร์ลีก

         ณ จุดนี้ กองหลังเลือดไอริช ที่ได้รับเลือกให้ลงเล่นแทน ริโอ เฟอร์ดินานด์ นั้น ยิงประตูตัวเองมากกว่าผู้เชี่ยวชาญด้านนี้อย่าง เจมี่ คาร์ราเกอร์ ถึงสามดอกส์ หลังหวดส่ง "หงส์แดง" นำ 1-0 ในครึ่งหลัง

         ขณะเดียวกัน การยิงประตูตัวเองไป 10 ลูกของเขา เกือบเทียบเท่าการยิงประตูคู่แข่งที่หวดไป 11 ลูกตลอดชีวิตพ่อค้าแข้งในลีกสูงสุดผู้ดี