หนังสือพิมพ์ "เดลี่เมล์" ได้ทำสกู๊ปถามถึงนักเตะเหล่านี้ ที่หลายคนต้องแปลกใจ ว่าวันนี้ทำไมถึงต้องกลายเป็นแค่ส่วนเกินของต้นสังกัด แม้จะอยู่สโมสรเล็กๆ กุนซือของพวกเขาก็ยังไม่คิดเลือกนำมาใช้งาน และนี่คือพวกเขาเหล่านั้น

         ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์ (ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส)
         นี่คืออดีตปีกจอมพลิ้วซึ่งมีฝีเท้าจัดจ้านคนหนึ่งของทีมชาติอังกฤษ และยังมีชื่อไปทำศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายปี 2010 แต่จากที่เคยได้ลงสนามอย่างต่อเนื่อง ฤดูกาล 2010-11 ฟอร์มหล่นหายจนได้ลงสนามแค่ 7 เกม และถูก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โละมาให้ ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส ผลงานคือยิง 1 จ่าย 6 ประตู จาก 52 แมตช์ และต้นสังกัดตกชั้น ขนาดอยู่แชมเปี้ยนชิพ เขาได้ลงสนามแค่ 11 เกม 540 นาที จ่ายได้ 1 ประตู จึงไม่แปลกที่ฤดูกาลนี้เป็นตัวจริง 1 ครั้งในเกมลีก คัพ รอบสอง ที่แพ้ เบอร์ตัน อัลเบี้ยน 0-1 ส่วนพรีเมียร์ลีก ยังไม่มีโอกาสลงสนามแม้แต่นาทีเดียว

         ฟากุนโด้ เฟร์เรยร่า (นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด)
         หนึ่งในอดีตกองหน้าดาวรุ่งของวงการอาร์เจนตินา ที่เคยได้อันดับ 3 ศึกชิงแชมป์แห่งชาติอเมริกาใต้ ปี 2011 และช่วย เบเลซ ซาร์สฟิลด์ ครองแชมป์ ซูเปอร์ไฟนอล ปี 2013 ด้วยผลงาน 16 ประตู จาก 22 นัด ที่ทำให้เป็นดาวซัลโวสูงสุดครึ่งฤดูกาลแรก ก่อน ชัคเตอร์ โดเน็ตส์ค ซื้อตัวไปอยู่ด้วย และยังช่วยต้นสังกัดได้แชมป์ลีกยูเครน ฤดูกาล 2013-14 หลังยิง 6 ประตู จาก 13 เกม นิวคาสเซิ่ล สนใจดึงมาใช้งานดูบ้าง แต่คาดว่าคงถูกส่งกลับก่อนหมดสัญญายืมตัวแน่นอน เพราะจนถึงนาทีนี้ก็ยังไม่ได้ลงโชว์ฝีเท้าให้แฟนบอล "สาลิกาดง" ได้เห็นในทีมชุดใหญ่สักครั้ง

         วิลสัน ปาลาซิออส (สโต๊ค ซิตี้)
         มิดฟิลด์เชิงรับซึ่งเคยโด่งดังกับ วีแกน แอธเลติก กับ ท็อตต์แน่ม ฮ็อตสเปอร์ แถมพาทีมชาติฮอนดูรัส เข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกเป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์เมื่อปี 2010 แต่การย้ายมา สโต๊ค ในปี 2011 คือจุดเริ่มต้นของฝันร้าย เพราะเจอทั้งอาการบาดเจ็บ และฟอร์มการเล่นที่ตกต่ำลงเรื่อยๆ ฤดูกาล 2012-13 ลงเตะรวมทุกรายการ 4 นัด 46 นาที แม้มีโอกาสลงสนามมากขึ้นในฤดูกาลต่อมา แต่ท้ายสุดก็เสียตำแหน่งให้ สตีเว่น เอ็นซอนซี่ นักเตะฝรั่งเศส และยังไม่มีโอกาสได้ทำศึกพรีเมียร์ลีกอีกเลยในฤดูกาลนี้ แถมอาจต้องหาสังกัดใหม่หลังหมดสัญญาปีหน้า

         สกอตต์ ซินแคลร์ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้)
         เคยฮือฮาสมัยที่ยังเป็นกองหน้าที่ช่วยให้ สวอนซี ซิตี้ เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดเป็นหนแรกในรอบ 28 ปี แถมเป็นสโมสรจากถิ่นเวลส์แห่งแรกที่ได้เตะพรีเมียร์ลีก แต่หลังจากย้ายไปอยู่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในปี 2012 ก็พบความจริงว่าเขาอาจไม่ดีพอสำหรับสโมสรใหญ่ เพราะได้ลงสนาม 14 นัด รวมทุกรายการ แต่ยิงไม่ได้เลย จึงโดนส่งให้ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ยืมตัวตั้งแต่ฤดูกาลก่อน ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น คลำเป้าไม่เจอใน 8 เกมที่ลงสนาม สุดท้ายต้องกลับมาตายรัง เอติฮัด สเตเดี้ยม เหมือนเดิม ถึงตอนนี้ก็เพิ่งได้ทำศึก คอมมิวนิตี้ ชีลด์ กับ ลีก คัพ รวมกัน 2 นัด 24 นาที

         อารูน่า โกเน่ (เอฟเวอร์ตัน)
         จอมพเนจรที่เคยไปค้าแข้งมาแล้วทั้งในเบลเยียม, ฮอลแลนด์, เยอรมัน และ สเปน แต่มาดังตอนแก่กับ วีแกน แอธเลติก เพราะช่วยให้ได้แชมป์ เอฟเอ คัพ 2013 ถ้วยรายการใหญ่ใบแรกในประวัติศาสตร์สโมสร แต่หลังตกชั้นในปีเดียวกัน กองหน้าทีมชาติไอวอรี่โคสต์ จึงย้ายตาม โรเบร์โต้ มาร์ติเนซ กุนซือชาวสแปนิช มาอยู่กันในถิ่น กูดิสัน พาร์ค แค่เจ้านายเก่าคงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะฤดูกาลก่อนลงสนามไปแล้ว 11 นัด รวม 288 นาที ทำประตูไม่ได้เลย จึงไม่มีใครอยากเสี่ยงส่งเขากลับลงสนามในฤดูกาลนี้ โดยเฉพาะเมื่อมีทั้ง ซามูเอล เอโต้ กับ โรเมลู ลูกากู อยู่แล้ว

         โมฮัมเหม็ด ซาล่า (เชลซี)
         ก่อนมาอยู่ในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ เขาเคยเป็นที่ต้องการของหลายสโมสร แต่พอย้ายเข้ามาเป็นผู้เล่นอียิปต์คนแรกในประวัติศาสตร์ เชลซี จริงๆ กลับไม่สามารถโชว์ฟอร์มที่เคยโดดเด่นเหมือนสมัยที่อยู่ เอฟเซ บาเซิ่ล อีกเลย เงินค่าตัว 11 ล้านปอนด์ที่จ่ายไป ได้คืนมาเป็น 2 ประตู จากการเตะพรีเมียร์ลีก 10 นัด เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ส่วนฤดูกาลนี้ได้ลงเล่นแบบจุ๋มจิ๋มมาก แค่ 5 เกมรวมทุกรายการ 179 นาที โดยเป็นการเตะพรีเมียร์ลีกเพียง 12 นาทีเท่านั้น แถมไม่มีชื่อแม้แต่กระทั่งเป็นสำรองข้างสนาม 5 จาก 11 แมตช์แรก เห็นแบบนี้สงสัยคงจะไม่ได้อยู่ยาวแน่นอน

         อันแดร์สัน (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)
         เมื่อ 9 ปีที่แล้วเขาคือผู้เล่นยอดเยี่ยมของการแข่งขันฟุตบอลโลกชุดอายุต่ำกว่า 17 ปี และพาทีมเดียวกันคว้าแชมป์อเมริกาใต้ ก่อนได้แชมป์ โคปา อเมริกา 2007 ระดับสโมสร ช่วย เอฟซี ปอร์โต้ ครองดับเบิ้ลแชมป์ปี 2006 และซิวแชมป์ลีกโปรตุเกส 2 สมัยซ้อน เมื่อย้ายมา แมนฯ ยูไนเต็ด ตอนแรกก็ทำท่าว่าจะดี แต่พอ 2 ปีหลังทุกอย่างมันชัดเจนว่าแทนที่ประสบการณ์เพิ่ม จะฟอร์มดีขึ้น กลับแย่ลงจนมิดฟิลด์ชาวบราซิเลียนรายนี้ได้เตะพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2013-14 แค่ 4 เกม ฟิออเรนติน่า ยืมตัวไปเล่น ก็โชว์ฟอร์มไม่ออก จึงถูกส่งกลับ ตอนนี้เพิ่งไป 1 เกม ใน ลีก คัพ

         เชย์ กิฟเว่น (แอสตัน วิลล่า)
         อดีตผู้รักษาประตูมือหนึ่งทีมชาติไอร์แลนด์ ซึ่งผ่านการเล่นในพรีเมียร์ลีกมาแล้ว 440 เกม ตอนนี้กลับต้องแพ้สังขารตัวเอง เพราะในวัย 38 ปี เขาต้องกลายเป็นตัวสำรองของ แบร็ด กูซาน นายทวารชาวสหรัฐอเมริกา ในถิ่น แอสตัน วิลล่า ซึ่งเคยโดนส่งให้ มิดเดิ้ลส์โบรช์ ยืมตัวเมื่อฤดูกาล 2013-14 รวมแล้ว 2 ฤดูกาลหลัง กิ๊ฟเว่น ทำศึกพรีเมียร์ลีกร่วมกับ "สิงห์ผงาด" เพียง 2 นัด หรือไม่ได้ลงสนามอีกเลยตั้งแต่ 25 สิงหาคม 2012 ล่าสุดเพิ่งเตะลีก คัพ รอบ 2 แต่เขาก็ไม่สามารถช่วยให้ต้นสังกัดรอดพ้นจากการพ่ายแพ้ เลย์ตัน โอเรี้ยนท์ จากลีก วัน คาบ้านตัวเอง 0-1

         อาบู ดิยาบี้ (อาร์เซน่อล)
         ดาวเตะผู้ถูกมองว่ามีสิทธิ์เป็น ปาทริก วิเอร่า คนใหม่ เพราะเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์เชิงรับ แถมมีเชื้อสายฝรั่งเศสเหมือนกัน แต่กลับโชคร้ายหลังลงสนามอย่างต่อเนื่อง 7 ฤดูกาล เขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนักที่เข่า ซึ่งทำให้เข้ารับการผ่าตัดหลายครั้ง แถมต้องหยุดยาวถึงนาน 1 ปี รวมแล้ว 2 ฤดูกาลล่าสุด ดิยาบี้ ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของ อาร์เซน่อล เพียง 2 แมตช์ รวม 83 นาที โดยไม่ได้ทำศึกพรีเมียร์ลีกอีกเลย ตั้งแต่นัดที่บุกเชือด นอริช ซิตี้ 2-0 เมื่อ 11 พฤษภาคม 2014 ล่าสุดช่วงกลางเดือนพ.ย. ที่ผ่านมา เขาเพิ่งเจ็บเอ็นหลังหัวเข่า ซึ่งทำให้ต้องพักยาวไปอีก 3 เดือน

         ซูโซ่ (ลิเวอร์พูล)
         เข้าสู่ฤดูกาลที่ 3 กับทีม "หงส์แดง" สำหรับอดีตจอมทัพทีมชาติสเปนชุดอายุต่ำกว่า 19 ปี ที่ได้แชมป์ยุโรป เมื่อ 2 ปีก่อน ฤดูกาล 2012-13 เป็นช่วงเวลาที่ดีสุดในการเตะพรีเมียร์ลีก หลังอุตส่าห์มาอยู่ที่ แอนฟิลด์ ตั้งแต่อายุ 16 ปี เพราะได้เล่น 14 นัด แต่เนื่องจากคู่แข่งในทีมชุดใหญ่เยอะ ลิเวอร์พูล จึงส่งไปลับฝีเท้ากับ อัลเมเรีย ด้วยสัญญายืมตัวในฤดูกาลต่อมา และสามารถลงสนามในศึก ลา ลีกา สเปน อย่างต่อเนื่อง แต่มันไม่มีประโยชน์เลย เมื่อกลับมาถิ่นเดิมก็ยังถูกเมินอีกตามเคย ขนาดฤดูกาลนี้มีเวลา 22 นาที แต่ลงไปช่วยยิงประตูในลีก คัพ ได้ ก็ไม่มีค่าอะไร