เมื่อ 3-4-2-1 ถูกท้าทาย
Posted 19/03/2015 by siamsport
ให้ดิ้นตาย ผมเกลียดสถานการณ์แบบตอนนี้ชะมัด การเดินเท้าเข้าสู่สงครามแดงเดือดที่มันมีอะไรเดิมพันสูงๆ นอกจากผลแพ้ชนะและการเกทับบลัฟกันของกองเชียร์
เพราะถ้ามันเป็นอย่างที่ว่าอำกันวันสองวันก็เลิกแล้ว รุ่งขึ้นกอดคอมองหน้ากันได้ แต่แดงเดือดเที่ยวนี้ ไม่ได้สำคัญแค่ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ ผลสืบเนื่องของมันยังอาจหมายถึงโอกาสกับความได้หรือเสียเปรียบในการแย่งชิงพื้นที่ท็อปโฟร์ของทั้งคู่
ดูบอลมานานโข ผ่านอารมณ์ของเกมแดงเดือดมาจนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่บ่อยที่จะรู้สึกตื่นเต้นล่วงหน้าได้เป็นวันๆ เท่ากับศึกครั้งใหม่ที่กำลังจะมาถึงในวันอาทิตย์
บางทีอาจเป็นเพราะเดิมพันสูงลิบของเกมอย่างที่บอก และคงเป็นไปได้ที่ความพร้อมของทั้งสองทีมในชั่วโมงนี้มาเกินร้อย ไม่มีใครกลัวใครเหมือนคู่มวยหยุดจักรวาล ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ ประจัญหน้ากับ แมนนี่ ปาเกียว
เมื่อก่อนเราอาจเห็นแดงเดือดในห้วงเวลาที่ใครบางทีมพิกลพิการ หรือฟอร์มไม่อยู่กับร่องกับรอย ซึ่งส่วนมากก็มักจะเป็นลิเวอร์พูลนั่นแหละ พอลงสนามเลยถูกกาหัวเป็นรอง เรียกว่า "อันเดอร์ด็อก"ใต้ร่มเงาของแมนฯ ยูไนเต็ด ในยุคเฟอร์กี้
จนมาฤดูกาลที่แล้ว ปีศาจแดงเจอความเปลี่ยนแปลงสำคัญ และแม้แต่การลงเล่นเกมนี้ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ร้านพูลรับพนันของอังกฤษ ก็ยกให้ลิเวอร์พูลมีสิทธิ์บุกมาลูบจมูกด้วยซ้ำ
โชคชะตาของทั้งคู่ผงกหัวสวนทางกันอีกครั้งในปีนี้ ลิเวอร์พูลไม่อยู่ในสภาพพร้อมจะต่อกรในแดงเดือดช่วงกลางธันวาคม หลังจากเพิ่งโดนเขี่ยตกรอบแชมเปี้ยนส์ ลีก และฟอร์มตั้งแต่เปิดซีซั่นยังออกทะเลหาฝั่งกลับไม่เจอ
แทบไม่มีใครแปลกใจกับชัยชนะของแมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์เดียวกับที่เคยแพ้ต่อคู่อริในช่วงปลายซีซั่นที่แล้ว
แต่มันยกเว้นฟอร์มของลิเวอร์พูลที่ดีขึ้นอย่างน่าประหลาด และหลายคนพูดว่าความพ่ายแพ้ 0-3 ไม่ได้สะท้อนการเล่นที่แท้จริง
แต่คราวนี้สิครับ จอห์น อัลดริดจ์ ขึ้นต้นคอลัมน์ของเขาในลิเวอร์พูล เอ็คโค่ ว่านี่คือเกมแดงเดือดที่ biggest for a while
เป็นเกมใหญ่ที่สุดในห้วงเวลาหนึ่งเท่าที่ผ่านมา
นอกจากเดิมพันของเกมที่มีผลต่อการแย่งโควตาแชมเปี้ยนส์ ลีก ทั้งคู่ยังเหมือนกราฟสองเส้นที่เคยแคล้วคลาดพาดขนานกันมานานหลายปี แต่ครั้งนี้ดันห้อตะบึงมาตัดกันพอดี
ทั้งสภาพทีม ทั้งฟอร์ม และที่สำคัญคือความมั่นใจ
วันก่อนผมเลยต้องจัดหนักแฟนไก่อย่างคิมคนดีไปหลายขนาน โทษฐานเป็นคู่ซ้อมให้แมนฯ ยูไนเต็ด เตะเรียกขวัญกำลังใจกลับมาซะเต็มที่ ไอ้เราก็นึกว่าสเปอร์สจะฉวยโอกาสที่ผีแดงเพลี่ยงพล้ำตกรอบเอฟเอ คัพ ด้วยการซ้ำสักแผลสองแผล ที่ไหนได้บอลเล่นแค่ครึ่งชั่วโมงปิดทีวีช่วยชาติประหยัดไฟดีกว่า
พอถึงลิเวอร์พูลลงสนามคู่สุดท้ายในศึกมันเดย์ไนต์ สารภาพตามตรงครับว่าไม่กล้าดู การเยือนสวอนซีเป็นหนึ่งในโปรแกรมที่หงส์แดงไม่เคยต้องชะตาถูกโฉลกด้วยมาแต่ไหนแต่ไรเท่าที่จำความได้
ก่อนแข่งสัก 3-4 ชั่วโมงยังชั่งใจเป่ายิ้งฉุบกับตัวเองว่าจะดูหรือไม่ดู สุดท้ายกลั้นใจปิดทีวี ปิดการสื่อสารทุกชนิด กระทั่งเช้ารุ่งขึ้นตื่นมาแล้วยกมือไหว้โทรศัพท์หนึ่งที ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ก่อนเข้าเว็บเช็กผลบอลพร้อมกับมือบังจอเอาไว้ ค่อยๆ เลื่อนช้าๆ ดูสกอร์เจ้าถิ่นก่อน เห็นเลข 0 ก็อุ่นใจได้แล้วว่าไม่แพ้แน่นอน
พลันกระชากมือออก แอบเซ็งเล็กน้อย 0-0 นี่หว่า แต่พอเพ่งดูอีกเที่ยวให้แน่ใจอ้าวดูผิด เผือกไปเช็กผลบอลกัลโช่ เซเรีย บี เวโรน่า เสมอ คาตาเนีย 0-0 นึกด่าตัวเอง...จะเอาฮาไปไหน ยังดีนะครับที่ลิเวอร์พูลทำได้ดีกว่าคาตาเนียเพราะบุกชนะสวอนซีถึงบ้าน 1-0
เพิ่งสบโอกาสดูรีรันของเกมนี้แบบ 90 นาที และคิดว่าถ้าคืนนั้นมาลุ้นสดๆ มาริโน่อาจเหลือแต่ชื่อแล้วก็เป็นได้ เพราะหัวใจทำงานหนักเกินไป
สังเกตบ้างมั้ยล่ะครับว่าหลายเกมที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลเต็มกลืนทีเดียวกว่าจะผ่านคู่แข่งแต่ละด่าน มันดูยากดูเหนื่อยขึ้นเรื่อยๆ เหตุผลสำคัญก็เพราะบรรดากุนซือทุกๆ ทีมพยายามเสาะหาจุดอ่อนของสูตรการเล่น 3-4-2-1 ที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ใช้มาตั้งแต่ศึกแดงเดือดยกก่อน
กว่าสามเดือนแล้วหมากนี้ของลิเวอร์พูลยังไม่มีทีมไหนเอาชนะได้ และผลงานตลอด 13 เกมหลังนับตั้งแต่ความพ่ายแพ้ 0-3 ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด สะกดได้ว่าชนะ 10 เสมอ 3
จัดเป็นทีมร้อนแรงที่สุดไม่เฉพาะในอังกฤษ แต่รวมถึงห้าลีกใหญ่ของยุโรป โก้ชะมัดนะครับ
แต่นั่นแหละ ไม่มีฟุตบอลระบบไหนที่ไม่มีจุดอ่อน ขนาด tiki taka ของบาร์เซโลน่า ยังโดนทะลวงพรุนจนต้องเลิกไปแล้ว สเปอร์ส ของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ มาเยือนแบบไม่กลัว ดันขึ้นเพรสสูงด้วยระบบ 4-2-3-1 จนกือบล้มลิเวอร์พูลได้ ถ้าไม่โดนหมัดน็อกของ มาริโอ บาโลเตลลี่
เซาธ์แฮมป์ตันไล่บี้บีบเร็วเช่นกันภายใต้หมาก 4-3-3 แต่ลูกยิงยอดเยี่ยมของ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ บวกประตูปิดกล่องจาก ราฮีม สเตอร์ลิง ทำให้นักรบแห่งแอนฟิลด์ชนะทั้งที่โอกาสสับไกน้อยกว่าทีมนักบุญเกินครึ่งต่อครึ่ง
แมนฯ ซิตี้เสนอตัวจัดหมาก 4-4-2 แลกกับลิเวอร์พูล แบบให้รู้ดำรู้แดง ก่อนกูรูลูกหนังพากันสวดยับว่า มานูเอล เปเยกรีนี่ ฆ่าตัวตายแท้ๆ เพราะโดนสวนแต่ละดอกหลุดถึง โจ ฮาร์ท
กระทั่งเมื่อวันจันทร์ เราได้เห็น แกร์รี่ มังค์ มาแผนใหม่ ปรับเปลี่ยนการยืนแดนกลางของสวอนซี จากที่คุ้นเคย 4-2-3-1 กลายเป็นไดมอนด์ หรือ 4-1-2-1-2 ย้อนมาเล่นงานลิเวอร์พูล ที่เคยใช้ซีซั่นก่อน
ครึ่งแรกเห็นผลครับ หน้าคู่ (บาเฟติมบี้ โกมิส กับ เวย์น เราท์เล็ดจ์) กดดันเซนเตอร์มิดฟิลด์รุก (กิลฟี่ ซิกูร์ดส์สัน) ประชิด โจ อัลเลน ขนาบด้วย จอนโจ เชลวี่ย์ กับ คี ซุง-ยอง ช่วยกันผลักวิงแบ็กสองข้างให้ถอยลงต่ำ แถมมี แจ็ค คอร์ก รอกวาดอีกหนึ่งชั้น
สามตัวรุกด้านบนของลิเวอร์พูล ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
แต่สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดในตัว เบรนแดน ร็อดเจอร์ส คือความไม่ยึดติด และพร้อมเปลี่ยนแปลงทันทีเมื่อชาติต้องการ
แน่นอน เขาเคยลองผิดลองถูกมาหลายครั้งในช่วงออกสตาร์ตซีซั่น จากไดมอนด์ มา 4-2-3-1 หรือ 4-3-3 แต่อย่างน้อย การลองแล้วไม่ได้ผล ย่อมดีกว่าการไม่กล้าลอง เพราะนั่นไม่มีทางรู้ว่าจะได้ผลหรือไม่
ร็อดเจอร์สปรับทันทีในครึ่งหลัง ยังใช้ระบบหลังสามคนเหมือนเดิม แต่มิดฟิลด์เปลี่ยนมายืนไดมอนด์ อย่างน่าฉงน!
อัลเลนยืนต่ำสุดขนาบข้างโด ยจอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ อดัม ลัลลาน่า และวิงแบ็กสองฝั่งยังอยู่ครบทั้ง อัลเบร์โต้ โมเรโน่ กับ ราฮีม สเตอร์ลิง
เหนือขึ้นไปคือ คูตินโญ่ และ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ เป็นหน้าเป้า
3-1-4-1-1 กลายเป็นรหัสพันธุ์ใหม่ที่ร็อดเจอร์สส่งลงมาครึ่งหลัง แล้วพลิกเกมผลักดันสวอนซี กลายเป็นฝ่ายตั้งรับ
อานิสงส์พลอยได้ถึงเฮนโด้ หลังจากครึ่งแรกโดนบีบให้ต้องยืนปักหน้าแบ็กโฟร์โดยแทบไม่มีโอกาสเติม แต่แผนใหม่นี้ช่วยให้เขา "ฟรี" มากขึ้น ประตูชัยของลิเวอร์พูล ก็มาจากตรงนี้ เฮนโด้สามารถวิ่งเติมจากบริเวณครึ่งสนามทะลุเข้าไปในเขตโทษ
และการวิ่งสอดลักษณะนี้ของมิดฟิลด์เป็นอะไรที่ฝ่ายรับจับยากสุด เพราะตัวประกบต้องตามตลอดจากต้นยันสุด แต่ คี ซุง-ยอง วิ่งแล้วหยุด ปล่อยให้เฮนโด้ตีรถเปล่าเข้าไปกดดันจนได้ประตู
กระนั้นต้องยอมรับว่าแผนไดมอนด์ของสวอนซีเกือบเอาลิเวอร์พูลอยู่หมัดจับเป็นได้แล้ว ระบบ 3-4-2-1 ถูกแหวกแผลเห็นจุดอ่อนอีกครั้งอย่างน่าเสียวไส้ และจะเสียวท้องน้อยยิ่วกว่านั้น คือมันไม่มีทางหลุดรอดสายตากับสมุดติดตัวของจอมปรัชญาอย่าง หลุยส์ ฟาน กัล
ว่ากันว่าแมตช์วันอาทิตย์นี้จะเป็นบททดสอบที่ท้าทายร็อดเจอร์สมากที่สุด นับจากการโดนถลุงที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ตลอดไปจนจบซีซั่น
ร็อดเจอร์สจะถูกมองเป็นแค่เด็กเมื่อวานซืนต่อไป หรือเจ๋งพอถอนหงอกคนแก่อย่างลุงฟาน กัล....วัดกันนัดนี้แหละ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ชัวร์หรือมั่วนิ่ม!หงส์เตรียมสู่ขอเฟอร์มิโน่
สื่อเผย ลิเวอร์พูล เตรียมยื่นเม็ดเงิน 18.6 ล้านปอนด์ เพื่อปิดดีลคว้าตัว โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่ มิดฟิลด์ตัวรุกบราซิเลียน ของ ฮอฟเฟ่นไฮม์ มาเสริมแกร่งในซัมเมอร์นี้ หลัง "หงส์แดง" ส่งแมวมองตามส่องฝีเท้าของเจ้าตัวมาตลอด 18 เดือนที่ผ่านมาหงส์เฮ!ลูคัสลงซ้อมได้แล้ว
ลูคัส เลว่า มิดฟิลด์ ลิเวอร์พูล กลับมาซ้อมกับทีมได้แล้วหลังก่อนหน้านี้เจ็บตรงขาหนีบ โดยเขาโพสต์ภาพตอนตัวเองลงซ้อมโชว์เลย แต่เชื่อว่าแข้งวัย 28 ปี ไม่น่าจะลงเล่นเกมกับ แมนฯ ยูไนเต็ด วันอาทิตย์นี้ได้อยู่ดีหงส์คอนเฟิร์มเล่นเกมปรีซีซั่นที่มาเลย์
ลิเวอร์พูล วางคิวบินมาโม่แข้งเกมอุ่นเครื่องช่วงปรี-ซีซั่น ที่ประเทศมาเลเซีย เดือนกรกฎาคมนี้ หลังเสร็จภารกิจลงเล่นที่ออสเตรเลีย 2 นัดโอ้เดือด!โพสต์ไอจีโต้นักวิจารณ์ให้หุบปากไปซะ
ไม่สนิทอย่าปีนเกลียว! มาริโอ บาโลเตลลี่ ดาวยิง ลิเวอร์พูล ทนอัดอั้นไม่ไหวถูกวิจารณ์ไม่เลิก อัดคลิประบายโต้พวกที่ออกมาจวกตนให้เงียบปากไป หากไม่เคยรู้จักหรือคุยกันแบบส่วนตัวมาก่อน
TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน
ห้ามทำตาม! อดีตแข้งอินเตอร์ เมาหยำเป,มีเซ็กซ์ไม่ป้องกัน
ทางการ! เอฟเอลงโทษแบนยาว เบนตานกูร์ เหยียด ซน ฮึง มิน
วิเคราะห์บอล บาเยิร์น พบ เอาก์สบวร์ก วันศุกร์ที่ 22 พ.ย. 67
ดีทั้งปัจจุบันและอนาคต!เด ลา ฟวนเต้ ลั่นวงการบอล สเปน กำลังอยู่ในช่วงรุ่ง
เพื่อนไม่ทิ้งกัน! เป๊ป เผยแพ้ 4 เกมติดเหตุผลต่อสัญญาใหม่ แมนซิตี้
อัลบั้มภาพเด็ดๆ
มาย ฮาเร็ม ส่งภาพเขย่าโซเชียล นุ...
เจนนี่ ธมนภัค พริตตี้สุดฮอต นุ่ง...
ฮาน่า ฮาอึน ชอง ดาว TikTok สาวสว...
นาฟ ฉัฐนันท์ ปล่อยแซ่บท้าลมหนาว ...
เต็มที่แล้ว! ไทย พ่าย อุซเบกิสถา...
ตัดเกรด นักเตะไทย เกมเสมอ โอมาน ...
คลิปไฮไลท์