โดยคู่วันเสาร์ช่วงสาม ทุ่มบ้านเรา "ลอนดอน ดาร์บี้" จบลงด้วยชัยชนะของ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เหนือ เชลซี 2-1 ซึ่ง "สิงโตคำราม" ยังฟอร์มบู่ไม่เลิก และมีข่าวออกมาว่าหาก โชเซ่ มูรินโญ่ กล้าๆที่จะไม่มีแต้มในนัดสำคัญที่จะเปิดบ้านรับการมาเยือนของ ลิเวอร์พูล ก็มีสิทธิ์ที่จะโดนเฉ่งออกจากรัง สแตมฟอร์ด บริดจ์ เช่นกัน

         ด้าน "จิ้งจอกสยาม" เลสเตอร์ ซิตี้ ผลงานยังคงเส้นคงวา เปิดรังเฉือน คริสตัล พาเลซ 1-0 จากหัวหอกคนดีคนเดิม "เจมี่ วาร์ดี้" นำโด่งดาวซัลโว 10 ประตู แถมยังเก็บคลีนชีตได้แบบนี้ ทั้งทีมคงได้กินพิซซ่ามื้อใหญ่ตามคำสัญญาของ "มิสเตอร์ ทิงเกอร์แมน" เคลาดิโอ รานิเอรี่ แน่ๆ  คู่ดึก อาร์เซนอล ยังร้อนแรงไม่เลิกหลังเปิดบ้านทุบ เอฟเวอร์ตัน 2-1 รั้งรองจ่าฝูงอยู่ในขณะนี้อีกด้วย

         ข้ามมาวันอาทิตย์ประเดิมคู่หัวค่ำด้วยศึก "ไทน์-เวียร์ ดาร์บี้" หรือศึกแดนอีสาน ระหว่าง ซันเดอร์แลนด์ ปะทะ นิวคาสเซิ่ล และเป็นฝ่ายเจ้าบ้านที่ไล่กดผู้มาเยือน 3-0 เป็นชัยชนะนัดแรกในเกมพรีเมียร์ลีกหลังผ่านมา 10 นัดอีกด้วย

         ต่อมาเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีเมืองแมนเชสเตอร์ เป็นเกมที่น่าสนใจที่สุดในสัปดาห์นี้ แต่กลับกลายเป็นว่าเจ๊ากันไปแบบโนสกอร์ 0-0 รูปเกมโดยรวมก็ไม่ค่อยถึงพระเดชพระคุณมากเท่าไรนัก มีจังหวะที่หวาดเสียวแค่ไม่กี่ครั้งในเกม จะมีเสียวแค่ตอนที่ เสี่ยหมู เวย์น รูนี่ย์ หัวแตกหลังปะทะกับ แว็งซ็อง ก็องปานี เซนเตอร์จอมแกร่งของ ซิตี้ และจังหวะที่ เจสซี่ ลินการ์ด กระดกบอลชนคานอย่างน่าเสียดาย

         คู่ระหว่าง เอเอฟซี บอร์นมัธ กับ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ยิงกันสลุต 1-5 โดยพ่อหนุ่ม "แฮร์รี่ เคน" กดแฮตทริกได้ในนัดนี้หลังปืนฝืดมานาน ส่วนคู่สุดท้าย ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังตามหาชัยชนะไม่เจอ เปิด แอนฟิลด์ เสมอกับ เซาธ์แฮมป์ตัน 1-1 ทำให้ หงส์แดง เสมอเป็นนัดที่สามติดต่อกันไปแล้ว

         หลังศึกพรีเมียร์ลีกสัปดาห์ที่ 10 ผ่านไป โดย "เดอะ มิร์เรอร์" สื่อชื่อดังแดนผู้ดี ได้จัด 10 เหตุการณ์น่าสนใจมาให้คุณผู้อ่านได้ติดตามกัน...

1. เข้าสู่ช่วงวิกฤติแล้วสำหรับ เชลซี

        5 เกมหลังสุดรวมทุกรายการ เชลซี มีชัยเหนือคู่แข่งเพียงแค่นัดเดียว นัดที่เปิดบ้านเอาชนะ แอสตัน วิลล่า 2-0 นอกนั้นแพ้ไป 3 เกม เสมออีก 1 ทำให้ โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือที่ช่วงนี้มีปัญหารุมเร้ามากๆ ต้องพาทีมฝ่าวิกฤตินี้ไปให้ได้ ต้องรีบพาสิงโตตัวนี้ไต่อันดับไปให้ไวที่สุด ก่อนที่จะถูกจ่าฝูง แมนฯ ซิตี้ ทิ้งคะแนนห่างไปมากกว่านี้ ซึ่งฟอร์มปีนี้ผิดกับปีที่แล้วเป็นอย่างมาก ซีซั่นก่อนพวกเขาคว้าแชมป์และแพ้แค่ 3 เกม ตลอด 38 นัดของพรีเมียร์ลีก แต่ปีนี้สะดุดหัวทิ่มไปแล้ว 5 เกม จาก 10 นัด!

2. วาร์ดี้ ผู้ไร้ความกลัว และหัวใจแกร่งดั่งสิงห์ 

         บอกได้เลยว่า เจมี่ วาร์ดี้ สามารถที่จะเล่นให้กับทีมอย่าง เรอัล มาดริด หรือ บาร์เซโลน่า หรือทีมไหนก็ได้ทั่วยุโรป ทำไมถึงบอกแบบนั้น เพราะหัวจิตหัวใจของเขาที่เป็นนักสู้ ไม่เคยเกรงกลัวอะไร เขามีความกระหายที่จะเป็นผู้ชนะ เมื่อดูจากโปรไฟล์ของเขาแล้ว จากแข้งระดับดิวิชั่น 8 ของอังกฤษ พัฒนาตัวเองมาเป็นดาวซัลโวของพรีเมียร์ลีกในขณะนี้ ถือว่าหัวจิตหัวใจไม่ธรรมดาจริงๆ

3. เจ้าหนู แจ็ค กรีลิช ตัวความหวังของชาวสิงห์ผงาด

         แข้งหนุ่มวัยยี่สิบ ถือว่าเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามองตั้งแต่ซีซั่นก่อนแล้ว สไตล์การเล่นที่ ทิม เชอร์วู้ด อดีตกุนซือจัดให้คือให้เป็นตัวอิสระทำเกมด้านหลังกองหน้า ซึ่งจะทำให้เขารีดศักยภาพในตัวออกมาได้อย่างเต็มที่ ก็หวังว่าผู้จัดการทีมคนใหม่ จะเห็นจุดแข็งของ กรีลิช และปั้นให้เป็นซุปเปอร์สตาร์ได้ในอนาคต

4. หาก วัตฟอร์ต กระเด็นตกชั้น พวกเขาจะไปแบบมีอะไรให้น่าจดจำ

        นับถึงตอนนี้ วัตฟอร์ดและเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ที่ทำประตูได้น้อยที่สุดในลีก เพียงแค่ 8 ลูกเท่านั้น ทำให้ขุนพล แตนอาละวาด ต้องสู้กันต่อไปเพื่อหนีตกชั้น แต่ด้วยความทุ่มเท ขยันไล่บี้คู่แข่งทุกเกม และความเพียรพยายามที่จะเป็นฝ่ายชนะ หาก วัตฟอร์ด พลาดพลั้งกระเด็นตกชั้นไป พวกเขาจะเป็นนักสู้ที่น่าจดจำ ดั่งเหมือน เบิร์นลีย์ เมื่อซีซั่นที่แล้ว

5. อเล็กซ์ นีล ต้องล่าแข้งใหม่เสริมทัพช่วงเปิดตลาดซื้อขายนักเตะ

         ขุมกำลังที่มีในตอนนี้ของ "นกขมิ้นเหลืองอ่อน" ยังไม่สามารถการันตีได้ว่า พวกเขาจะยืนระยะต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดในพรีเมียร์ลีกได้ จุดแรกที่ควรเสริมคือ เซนเตอร์ฮาล์ฟ ฟูลแบ็ค ตัวทำเกมรุก รวมไปถึงศูนย์หน้าตัวจบสกอร์ดีๆ อย่าง ชาร์ลี ออสติน ของ ควีนสปาร์ค เรนเจอร์ส หรือ เบนิค อโฟเบ้ จาก วูล์ฟแฮมป์ตัน ไว้ข่มขวัญแนวรับคู่ต่อสู้ ก็เป็นทางเลือกที่ควรจะต้องรีบดำเนินการด้วยเช่นกัน

6. อาร์เซนอล มีสิทธิ์ที่จะคว้าแชมป์ได้ในซีซั่นนี้

         ฟอร์มการเล่นมาแล้ว ทุกอย่างใกล้เข้าที่เข้าทางแล้ว เหลือแค่อย่างเดียวก็คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้นักเตะตัวหลักของทีม บาดเจ็บให้น้อยคน น้อยครั้งที่สุด ซึ่งประเด็นหลังเป็นปัญหาของ อาร์แซน เวนเกอร์ มาโดยตลอด พอช่วงที่จะเข้าได้เข้าเข็มมีลุ้นเบียดที่จะก้าวไปคว้าแชมป์ บรรดานักเตะตัวหลักพาเหรดกับเจ็บ ส่งผลให้แผ่วปลายไปในที่สุด ซึ่งปีนี้เป็นโอกาสที่ดีแล้วที่จะสามารถหยิบแชมป์มาประดับตู้โชว์ของสโมสร ได้เสียทีหลังจากที่รอคอยมานาน 13 ปี

7. ช็อตการตัดสินจุดโทษที่ไม่ค่อยเป็นธรรมใน ไทน์-เวียร์ ดาร์บี้

         จังหวะจุดโทษที่ทางเจ้าบ้านขึ้นนำ 1-0 จาก อดัม จอห์นสัน เป็นจุดโทษที่ไม่ค่อยจะเป็นธรรมซักเท่าไหร่ของทางทีมเยือน ซึ่งจากรูปแบบการเสียฟาวล์ของ ฟาบริซิโอ โกลอชชินี่ เข้าไปแท็กเกิลไหล่ต่อไหล่กับ สตีเว่น เฟล็ตเชอร์ แถมหัวหอกเลือดสก็อตฯก็พร้อมทิ้งตัวอยู่แล้ว ผู้ตัดสินเจ้ากรรมชี้ให้เป็นจุดโทษทันที แถมยังใจร้ายควักใบแดงไล่ปราการหลังหัวฟูออกจากสนามไปอีก ทำให้เสียเปรียบทั้งประตูและผู้เล่นก่อนพ่ายไปในที่สุด

8. นักเตะมูลค่ามากมายไม่สามารถซื้อความบันเทิงได้

         เกมนี้มีมูลค่าของตัวนักเตะแพงที่สุดใน พรีเมียร์ลีกเลยก็ว่าได้ แฟนบอลทั้งสองสีคาดหวังว่า เกมจะดุเดือดเลือดพล่าน (ซึ่งมีเลือดจริงๆ จากเหตุการณ์ รูนี่ย์ หัวแตก) เปิดเกมบุกกันแบบต้องร้องขอคำว่า มันส์พะยะค่ะเลยคุณขา แต่ทว่าบรรดาแข้งทั้งสองทีมที่รวมกันมากกว่าพันล้านปอนด์ กลับเล่นไม่ตามใจแฟนๆที่คาดหวังเลย และอาจจะเป็น แมนเชสเตอร์ดาร์บี้แมตช์ ที่น่าเบื่อที่สุดในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ก่อตั้งพรีเมียร์ลีกมาก็เป็นได้

9. แฮร์รี่ เคน นั้นสำคัญไฉน

         เดอะ เฮอร์ริเคน ออกสตาร์ทตัวจริงที่ ไวทาลิตี้ สเตเดี้ยม ด้วยความฟิตที่ไม่เต็มร้อยจากการอาการบาดเจ็บที่เข่าเล็กน้อย และการที่ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ตัดสินใจเสี่ยงส่ง เคน ลงสนามเป็นตัวจริงนั้นส่งผลให้สเปอร์สคว้าชัยไปอย่างท้วมท้น หัวหอกร่างบางสำคัญกับทีมมากขนาดไหน ก็ดูจากที่เจ้าตัวซัดแฮตทริกให้กับตัวเองและทีมได้ก็แล้วกัน

10. คูตินโญ่ยังควานหาฟอร์มเก่งไม่เจอ

         นานเท่าไหร่แล้วที่พ่อหนุ่มชาวบราซิเลียน ยังไม่คืนฟอร์มเก่งเหมือนกับสามนัดแรก หลังเกมพ่าย เวสต์แฮม ยูไนเต็ดในนัดต่อมา ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนทำให้สภาพจิตใจของเขา ดรอปลงไปพร้อมฟอร์มการเล่น เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องรีบปลุกวิญญาณพ่อมดน้อยคืนชีพกลับมาให้ได้ เพื่อที่ทีมจะได้เดินหน้าขึ้นไปเพื่อเป้าหมายหลักคือติดท็อปโฟร์นั่นเอง