ศึก พรีเมียร์ลีก คู่บิ๊กแมตช์ประจำวันเสาร์ เชลซี ที่กำลังเข้าสู่ช่วงวิกฤติ เปิด สแตมฟอร์ด บริดจ์ ต้อนรับการมาเยือนของ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล และเป็นการพบกันอีกครั้งของ โชเซ่ มูรินโญ่ กับ เจอร์เก้น คล็อปป์ หลังทั้งคู่เคยประลองยุทธกันมาแล้ว 4 ครั้ง สมัยจ่ามูเป็นเฮดโค้ช เรอัล มาดริด ส่วน คล็อปป์ คุมบังเหียน โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ บนสังเวียน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อฤดูกาล 2012/13

        ซึ่งผลการดวลกันเป็นทาง กุนซือชาวเยอรมัน ทำได้ดีกว่า หลังพาทีมเอาชนะได้ 2 ครั้ง เสมอ 1 ส่วนมูรินโญ่ชนะได้ 1 ครั้ง และการมาเจอครั้งที่ 5 เป็นทาง คล็อปป์ พา ลิเวอร์พูล มากำชัยในถิ่น เดอะ บริดจ์ ได้สำเร็จนับตั้งแต่ซีซั่น 2010/11 ที่เคยบุกมาชนะได้ 1-0 จากประตูของ ราอูล เมยเรเรส

        โดยทางเจ้าบ้านเป็นฝ่ายขึ้นนำก่อนอย่างรวดเร็วจาก รามิเรส ในนาทีที่ 4 แต่ทว่าก่อนหมดครึ่งแรก ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ มายิงประตูสุดสวยได้สำเร็จ นาทีที่ 45+3 เข้าสู่เกมครึ่งหลัง เอแด็ง อาซาร์ ถูกเปลี่ยนตัวออกไปอย่างรวดเร็วหลังผ่านไป 14 นาที ข้อหาโดนลักพาตัวไปจากเกมตั้งแต่ครึ่งแรก สุดท้ายเป็นทาง คูตินโญ่ ยิงพาทีมขึ้นนำ 2-1 นาทีที่ 74 ก่อนมาได้ประตูย้ำชัยชนะนาทีที่ 83 จาก คริสติยอง เบนเตเก้ ที่ลงมาเป็นตัวสำรองในเกมนี้ และเป็นประตูที่สองติดต่อกันที่ทำได้ในฐานะตัวสำรอง

        หลังจบเกม "เดอะ มิร์เรอร์" สื่อชื่อดังของอังกฤษ ได้รวบรวม 5 สิ่งที่เกิดขึ้นในเกมนี้ จะมีอะไรบ้างไปติดตามกันได้เลย

1) บางที ร็อดเจอร์ส ก็คิดถูกเกี่ยวกับศักยภาพของ โมเรโน่

        หลังจากที่ อัลแบร์โต้ โมเรโน่ ออกโรงยั๊วะ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส อดีตเจ้านายของเขาที่ไม่ค่อยส่งเจ้าตัวลงสนามเป็นตัวจริง เพราะไม่เชื่อมั่นใน(เกมรับ)แบ็คซ้ายชาวสแปนิช ซึ่งบางทีในมุมของ ร็อดเจอร์ส ก็มีส่วนที่ถูกเช่นกัน หลังเจ้าตัวพลาดปล่อยให้ รามิเรส วิ่งโถมเข้ามาโหม่งเป็นประตูขึ้นนำของเจ้าบ้าน เป็นเพราะความหละหลวมในเกมรับของเจ้าตัว ที่ไม่ดูตัวประกบ ก่อนจะพลาดโดนมิดฟิลด์ทีมชาติบราซิลพังตาข่ายได้สำเร็จ 

2) ซาโก้ ยิ่งเล่นยิ่งเด่น ภายใต้การคุมทีมของ คล็อปป์

        ซาโก้เป็นผู้เล่นอีกคนที่ทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยม หลังจากที่กุนซือเยอรมันเข้ามาซ่อมแซมระบบภายในของทีมชุดใหญ่ ตอนนี้ปราการหลังจอมเก้งก้างเป็นกำลังหลักคู่กับ มาร์ติน สเคอร์เทล ไปเรียบร้อยแล้ว 
ซึ่งเกมนี้เขาเด่นมาก ทั้งใช้ความใหญ่ ความแข็งแกร่ง และคอยบัญชาแผงแนวรับให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ป้องกันเกมรุกของเชลซีได้อย่างดี ถ้าไม่นับลูกที่เสียประตูจาก รามิเรส นอกนั้นก็ถือเป็นงานง่ายของ "ซาโก้ แอนด์ เดอะ ดีเฟนซ์ แก๊ง" ในเกมนี้อีกเช่นกัน

3) คล็อปป์ยังโดดเด่นกับแอ็คชั่นข้างสนามเช่นเคย

        เขาเป็นผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลที่มีชีวิตชีวามากๆ ไม่ใช่จะมีแต่แอ็คชั่นดีใจ ยืนลุ้นลูกทีมอย่างเดียว เมื่อทีมอยู่ในสถานการณ์ที่ควรจะได้ผลประโยชน์ เจ้าตัวก็มีอาการเกรี้ยวกราดเช่นเดียวกัน ซึ่งเกมนี้ก็ไปตวาด ลี เมสัน ผู้ตัดสินที่สี่ ในจังหวะที่ จอห์น โอบี มิเกล ทำแฮนด์บอล หลังเจ้าตัวมีใบเหลืองติดตัวอยู่แล้วแต่กลับรอดตัวไป และโดนเปลี่ยนตัวในที่สุด

4) แฟนบอลเชลซียังหนุนหลังมูรินโญ่ แล้วบอร์ดบริหารล่ะ?

        และนี่ก็ไม่ใช่วันของ "เดอะ สเปเชี่ยล วัน" อีกหนึ่งวัน เชลซี พลาดท่าพ่ายแพ้ในลีกเป็นนัดที่ 2 ติดต่อกันแล้ว หลังจาก รามิเรส ยิงประตูเปิดหัวให้ทีมขึ้นนำ แฟนๆ ยังตะโกนสนับสนุนกุนซือชาวโปรตุกีสกันอย่างกึกก้อง แต่จบเกมทีมดันพังพาบคาบ้าน 1-3 และไม่ยอมตอบคำถามนักข่าวหลังจบเกม ตอบเพียงแค่ว่า "ผมไม่มีอะไรจะพูด" แล้วเดินหนีไป หลังจากนี้อนาคตของ มูรินโญ่ คงไม่ปลอดภัยเป็นแน่แท้ แฟนบอลยังคงรักและสนับสนุนไม่ว่า มูรินโญ่ จะเป็นยังไง แต่กับบอร์ดบริหารละจะทนดูทีมตกต่ำได้หรือไม่

5) อาซาร์ก็ยังฟอร์มบู่เช่นเคย

        มิดฟิลด์ชาวเบลเจี้ยน ออกสตาร์ทต้นเกมยืนตำแหน่งผู้เล่นหมายเลข 10 ก่อนที่จะโดนโยกไปด้านข้าง และสุดท้ายโดนเปลี่ยนตัวออกในที่สุด ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมูรินโญ่ ก็เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ฟอร์มของเจ้าตัวย่ำแย่มากๆ ในช่วงนี้