ดูเหมือนใครๆ ก็ไม่รักท่านอาจารย์หลุยส์นะครับ (โถ...พ่อคุณ)

        พลพรรคปีศาจแดงอุตส่าห์บุกไปเหยียบจมูกคู่แค้นตลอดชาติอย่าง ลิเวอร์พูล ถึงถิ่น แต่แทบจะไม่มีใครที่มองว่ามันเกิดจากความสามารถของผู้จัดการทีมวัย 64 ขวบ ผู้นี้มากนัก

        ส่วนใหญ่มองว่าเป็นลิเวอร์พูลเองนั่นแหละที่ดันเอาชัยชนะที่ตัวเองสมควรจะได้รับไปโยนทิ้งลงโถส้วมที่แอนฟิลด์ ก่อน เวย์น รูนี่ย์ จะเปิดประตูห้องส้วมเข้ามาพร้อมใบหน้าโรคจิตแล้วรีบกดชักโครกทันที!

        เทียบกับ เดวิด มอยส์ เมื่อฤดูกาล 2013-14 หลังจากผ่าน 22 นัดแรก ผลงานของแมนฯ ยูไนเต็ด จากปรัชญาของ หลุยส์ ฟาน กัล ในฤดูกาลนี้ห่วยแตกกว่าอีกนะครับ คือคะแนนเท่ากันที่ 37 แต้ม แต่ที่น้อยกว่าคือจำนวนประตู

        22 นัดแรกของฤดูกาล 2013-14 ลูกทีมของ เดวิด มอยส์ ยิงได้ 36 ประตู ขณะที่ลูกทีมของ หลุยส์ ฟาน กัล ยิงได้แค่ 28 ประตูเท่านั้น

        อืมมมมม...นะ

        หากเทียบผลงานหลังจากผ่านไป 22 นัด ชัดเจนนะครับว่า หลุยส์ ฟาน กัล ทำทีมได้ห่วยแตกกว่า เดวิด มอยส์ เสียอีก

        ชัยชนะของแมนฯ ยูไนเต็ด ในศึกแดงเดือดผ่านไปเพียงไม่กี่วันก็มีรายงานข่าวว่า หลุยส์ ฟาน กัล อาจตัดสินใจลาออก หลังจบฤดูกาลนี้

        ข่าวนี้มีต้นตอมาจากหนังสือพิมพ์ "แมนเชสเตอร์ อีฟนิ่ง นิวส์"

        ผมคลิกเข้าไปอ่านแล้วกลับไม่พบการอ้างอิงใดๆ จากแหล่งข่าวที่จัดอยู่ในประเภท "วงใน" ระดับ "อินไซเดอร์" ก่อนพบว่ามันเป็นเพียงการวิเคราะห์ล้วนๆ โดยตั้งคำถามเป็นภาษาอังกฤษว่า "Could he quit as Manchester United boss in the summer?"

        ประมาณว่ามันเป็นไปได้หรือไม่ที่ หลุยส์ ฟาน กัล จะลาออกจากตำแหน่งในช่วงซัมเมอร์

        ย้ำอีกครั้งว่ามันไม่ใช่ "ข่าว" นะครับ มันคือ "บทวิเคราะห์" ที่ผู้สื่อข่าวของ "แมนเชสเตอร์ อีฟนิ่ง นิวส์" ชื่อนาย ร็อบ ดอว์สัน เขียนขึ้นโดยเอาข้อมูลเก่าของ หลุยส์ ฟาน กัล และสถานการณ์ปัจจุบันของแมนฯ ยูไนเต็ด มาผนวกเข้าด้วยกันแล้วคาดการณ์ซะมากกว่า

        ทว่าบทวิเคราะห์นี้กลับถูกสำนักข่าวอื่นๆ ทั้งในอังกฤษและไทยเอาไปนำเสนอในทำนองของ "ข่าวลือ" ว่า หลุยส์ ฟาน กัล อาจจะตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งหลังสิ้นฤดูกาลนี้...ซะอย่างนั้น!

        การเสพข่าวจากโลกโซเชียลและนาทีนี้ต้องใช้วิจารณญาณอย่างจงหนัก อย่าเพิ่งปักใจเชื่อในทันที ผมเคยเขียนถึงเรื่องนี้หลายครั้ง แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไหร่ เพราะธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "ชาวเน็ต" ส่วนใหญ่ชอบแสดงความเห็นมากกว่าอ่านให้ละเอียดเสียก่อน แล้วก็ตามกระแสกันไปพลางระบายสัญชาตญาณดิบเถื่อนของตัวเองออกมาอย่างน่ากลัว

        ทีนี้มาดูกันว่าในบทวิเคราะห์นั้นว่าอย่างไรบ้าง?

        อันดับแรก เขาตั้งคำถามขึ้นมาเองว่ามีเหตุผลใดที่กุนซือปีศาจแดงคนปัจจุบันผู้นี้จะลาออก

        คำตอบง่ายๆ และสั้นๆ คือ หลุยส์ ฟาน กัล ย่อมไม่ต้องการให้ตัวเองถูกไล่ออกอย่างแน่นอน

        การถูกตะเพิดคือสิ่งที่เขาเกลียด เพราะมันเสื่อมเสียเกียรติประวัติ

        ที่สำคัญคือลุงอ้วนแกเคยออกโรงมายืนยันหนักแน่นแล้วนะครับว่า จะอำลาอาชีพผู้จัดการทีมอย่างแน่นอน หลังหมดสัญญา 3 ปี กับแมนฯ ยูไนเต็ด

        หมายความว่าถ้าอยู่จนครบสัญญาก็ไม่มีการต่อสัญญาใหม่ และไม่ไปคุมทีมอื่นในฐานะโค้ชหรือผู้จัดการทีม เขาจะกลับไปอยู่กับศรีภรรเมียและท่องเที่ยวกันตามประสา

        ปัญหาคือสถานการณ์ของ หลุยส์ ฟาน กัล ในฐานะผู้จัดการทีมปีศาจแดงนั้นล่อแหลมต่อการโดนไล่ออกอย่างแรงเลยทีเดียว

 แม้จะได้รับการหนุนหลังจาก ฯพณฯ เอ๊ดเอ้ เอ๊ย! เอ็ด วู้ดเวิร์ด กระนั้นต้องไม่ลืมว่าของแบบนี้ไม่มีอะไรแน่นอน คิดง่ายๆ ว่าถ้า แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้แชมป์ใดๆ ติดไม้ติดมือในฤดูกาลนี้ มิซ้ำหากหลุดจากการเป็น 1 ใน 4 ของตารางจนอดไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กระแสเรียกร้องให้ไล่ออกจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นจนอุเบกขาของเบื้องบนมิอาจทัดทาน

        ก่อนเกมกับนอริช ซิตี้ ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา กุนซือเจ้าของฉายา "ทิวลิปเหล็ก" เคยให้สัมภาษณ์ว่า "ผมไม่ได้ต้องการจบอาชีพตัวเองด้วยการถูกไล่ออก มันคงเป็นตราบาปที่สุดในชีวิต หากผมต้องกล่าวคำอำลาโลกลูกหนังด้วยการถูกไล่ออกจากตำแหน่ง"

        ที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผลงาน คือสไตล์การเล่นอันเป็นเอกลักษณ์ของปีศาจแดงที่สูญเสียไป เพราะปรัชญาของ หลุยส์ ฟาน กัล

        คิดถึงเรื่องนี้แล้วก็อยากหัวเราะออกมาเป็นภาษามอนเตเนโกร เพราะตอนที่ ""ลอร์ดเอ๊ด"" สถาปนาผู้จัดการทีมชาวดัตช์ท่านนี้ให้เป็นพ่อใหญ่คนใหม่แห่งโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ซีอีโอของปีศาจแดงเคยชื่นชมท่านอาจารย์หลุยส์อย่างออกนอกหน้า

        "เขามีพลังงานอย่างเหลือเฟือและที่สำคัญคือเขาชอบฟุตบอลเกมรุก ถ้าคุณจำ บาร์เซโลน่า ในยุคปลายทศวรรษที่ 90 ได้ คุณคงรู้ว่าพวกเขาเล่นเกมรุกบุกแหลก เฉพาะอย่างยิ่งในเกมที่เจอกับเรา 2 นัดในรอบแบ่งกลุ่ม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อฤดูกาล 1998-99 (เสมอ 3-3 ทั้ง 2 นัด) นั่นคือวิธีการเล่นที่แฟนบอลของแมนฯ ยูไนเต็ด ชื่นชอบ และมันฝังอยู่ในสายเลือดของเรา"

        เวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน ปัจจุบัน หลุยส์ ฟาน กัล กลายเป็นกุนซือที่เน้นผลการแข่งขันมากกว่าฟุตบอลเกมรุกเหมือนในอดีต

        หากผลงานของปีศาจสามง่ามตอนจบฤดูกาลไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ (อันดับ 3 ของตารางและควรได้แชมป์บอลถ้วยสักรายการ) ขณะเดียวกับที่สไตล์การเล่นยังคงน่าเบื่อและสร้างความเอือมระอาให้บรรดาเร้ด อาร์มี่ มันก็มีความเป็นไปได้สูงเช่นกันที่ เอ็ด วู้ดเวิร์ด จะต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อเซฟตัวเอง ไม่ให้ถูกแฟนบอลเอาขี้ไปปาที่หน้าบ้าน หลังให้โอกาสท่านอาจารย์หลุยส์ทำงานจนจบฤดูกาล

        นั่นคือการไล่ออก

        แม้ผู้จัดการทีมวัย 64 จะเคยเย้ยหยันบรรดาสรรพสื่อมวลชนด้วยความกระหยิ่มว่า "กูไม่ออก" แต่หากคำนวนดูแล้วเห็นท่าไม่ดี มันก็มีความเป็นไปได้ที่คุณพี่เขาจะชิงจังหวะลาออกก่อนที่จะถูกตะเพิดให้มันเสื่อมเสียเกียริตประวัติ

        พูดง่ายๆ ว่ากลัวจบไม่สวยนั่นแหละ

        ย้อนกลับไปเมื่อปลายฤดูกาล 2013-14 ฯพณฯ เอ็ด วู้ดเวิร์ด เคยไล่ เดวิด มอยส์ ออกจากตำแหน่งแบบไม่เกรงใจใคร ทั้งๆ ที่เขาเป็น "ผู้ถูกเลือก" โดยบรมกุนซืออย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

        จุดนี้แสดงให้เห็นว่าสโมสรมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด

        แน่นอนว่าเหนือกว่าความสัมพันธ์ส่วนตัว

        มันเป็นการลงโทษทัณฑ์ หลังจากที่แมนฯ ยูไนเต็ด หมดสิทธิ์ไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แน่ๆ แล้ว และถ้ามันเกิดนรกอะไรแบบนั้นขึ้นอีกในฤดูกาลนี้ เข้าใจว่าหน่วยเหนือคงต้องทำแบบเดียวกันอีกนั่นแหละ และหาก หลุยส์ ฟาน กัล คิดว่าตัวเองจะถูกทำเหมือน เดวิด มอยส์ เขาคงชิงลาออกก่อน

        ในอดีตลุงอ้วนเหน็บชาก็เคยชิงจังหวะ "ลาออก" ก่อนจะถูก "ไล่ออก" ให้เห็นมาแล้วนะครับ

        เขาลาออกจากอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เพื่อไปอยู่กับทีมที่ใหญ่กว่าอย่าง บาร์เซโลน่า เมื่อปี 1997 ก่อนจะออกจากตำแหน่งเฮดโค้ชของ บาร์ซ่า เมื่อ 2000 พร้อมกับคำพูดประชดสื่อว่า "เรียนผู้สื่อข่าวทุกท่าน ผมลาออกแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย"

        เช่นเดียวกับแสดงความรับผิดชอบด้วยการก้าวลงจากตำแหน่งกุนซือทีมชาติฮอลแลนด์ในปี 2002 หลังจากอัศวินสีส้มตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก

        หลุยส์ ฟาน กัล ถูกไล่ออกครั้งแรกในปี 2003 หลังจากที่ทำบาร์เซโลน่า หล่นลงไปอยู่ในอันดับที่ 12 ของตาราง หลังจากนั้นก็ลาออกจากตำแหน่งกุนซือของอาแซ่ด อัลค์มาร์ ในปี 2009 เพื่อพุ่งชนความศิวิไลซ์กว่าที่บาเยิร์น มิวนิค ก่อนถูกเรียกไปยกเลิกสัญญาในปี 2014

        นั่นคือการโดนไล่ออกเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิตของผู้จัดการทีมท่านนี้

        ปีเดียวกันเขาลาออกจากตำแหน่งกุนซือทีมชาติฮอลแลนด์แบบหล่อๆ หลังได้อันดับ 3 ในฟุตบอลโลก 2014 เพื่อมาเป็นพ่อใหญ่แห่งโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด กระทั่งบัดนี้นี่แหละ

        สรุปว่าในอาชีพผู้จัดการทีม หลุยส์ ฟาน กัล มักจะตัดสินใจลาออกเองเสียเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้เพื่อเข้ารับตำแหน่งกับทีมอื่นที่ดีกว่าทีมเดิม โดยทั้ง 2 ครั้งที่ถูกไล่ออกมาจากการทำผลงานอันย่ำแย่

        ผลงานของแมนฯ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลนี้ใช่ว่าจะดีเด่นเป็นสง่าอะไร

        เรียนตามตรงว่ามีโอกาสสูงเหมือนกันที่จะจบฤดูกาลโดยต่ำกว่าอันดับ 3 หรืออาจหลุดจากการเป็น 1 ใน 4 ของตารางอีกครั้ง แถมสไตล์การเล่นอันน่าเบื่อก็ไม่เป็นที่ชื่นชอบของบรรดาเด็กผีทุกหมู่เหล่าสักเท่าไหร่

        ประสบการณ์จึงน่าจะสอนเขาว่าควรจะชิงจังหวะลาออกก่อนที่จะโดนไล่ออกนะครับ

        และนี่คือบทวิเคราะห์ถึงความน่าจะเป็นไป ไม่ใช่ข่าวลือแต่อย่างใด