รูปแบบการทำทีมของ เอสซีจี เมืองทองฯ ในยุคที่ ''โค้ชแบน'' ธชตวัน ศรีปาน มาเป็นแม่ทัพนี้ ถือว่าเจ้าตัวเน้นในเรื่องของตัวนักเตะอย่างมากทีเดียว เพราะค่าเฉลี่ยในปีนี้ของทีมอยู่ราวๆ 25-26 ปีเท่านั้น อาจจะเป็นเพราะว่าขุมกำลังอย่าง ทีมชาติไทย ที่อยู่ในทีมอย่างเพียบแปร๋

        แต่ไม่ใช่ว่า "โค้ชแบน" จะส่งผู้เล่นทีมชาติไทย ลงสนามเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะอะไหล่สำรองที่มีอยู่ จัดว่าเป็นอาวุธที่สามารถจะลงไปเปลี่ยนเกมได้ ซึ่ง 1 ในนั้นก็คือ "เจ้าบอล" ชัยวัฒน์ บุราณ ดาวรุ่งวัย 21 กะรัต ที่สามารถเล่นได้ทั้งปีกและแบ็กซ้ายนั่นเอง

        โดยแข้งที่หลงใหลในการสักบนเรือนร่างรายนี้ เริ่มเล่นฟุตบอลอย่างจริงจัง ตั้งแต่อยู่ชั้น ป.4 กับโรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย ในตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟ ทว่าไม่เคยได้ออกไปแข่งขันเพื่อหาประสบการณ์ที่ใด เนื่องจากเป็นการเรียนรู้ทักษะลูกหนังเท่านั้น

        กระทั่งในช่วงขึ้น ม.1 เขาและเพื่อนอีก 1 คน ได้ไปคัดตัวกับ จุฬาภรณ์ จ.ชลบุรี ซึ่งที่นี่เขาได้ลงเล่นในตำแหน่งปีกซ้าย และจากความเร็วของเขา ทำให้กลายเป็น 1 ในไม่กี่รายจาก 300 กว่าคนทั่วประเทศ ได้เข้าไปเรียนต่อสถาบันดังกล่าวก่อนที่จะได้แชมป์ชัยพงศ์ คัพ รุ่น 13 ปี รวมทั้งรองแชมป์บอลซิโก้ จ. ขอนแก่น และที่นั่นเป็นจุดกำเนิดทำให้เขาได้เจอกับแข้งทีมชาติไทย ชุดใหญ่ ปัจจุบัน

        "ผมจำได้ว่าตอนที่ไปเล่นในรายการซิโก้ ที่ จ.ขอนแก่น ผมได้เจอกับทีมชาติไทย อย่าง พี่ตอง (กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์) ซึ่งผมรู้จักแค่เพียงคนเดียว หลังจากพี่เขามาเล่นในรุ่น 18 ปี ให้กับอัสสัมชัญธนบุรี ทว่า พี่อุ้ม (ธีราทร บุญมาทัน) และพี่บิ๊ก (ประวีณวัช บุญยงค์) ในตอนนั้นผมยังไม่รู้จักจริงๆ ฮ่าๆๆ” ดาวรุ่งดวงใหม่เปิดใจอย่างอารมณ์ดี

        หลังจากอยู่กับ จุฬาภรณ์ ได้ 1 ปี กลายเป็นว่าทีมฟุตบอลได้ยุบไป ทำให้เขาได้เลือกไปเรียนต่อที่โรงเรียนกีฬา จ.ชลบุรี และในตอนนั้นเองที่หลังจากสนาม สพล.ชลบุรี เขาได้นั่งชมการซ้อมของทัพ "ฉลามชล" ไม่ว่าจะเป็น อาทิตย์ สุนทรพิธ, คนึง บุราญสุข, เทิดศักดิ์ ใจมั่น และพิภพ อ่อนโม้ ทำให้เขาได้ซึมซับเทคนิคไม่น้อยใน 1 ปีครึ่ง

        เพราะจากนั้นเขาได้ไปอยู่กับโรงเรียนเพ็ญสมิธ รุ่นเดียวกับ อิทธิกร การสร้าง กับ "เต๋าดินโญ่" ธนาสิทธิ์ ศิริผลา ตอน ม.3 เทอมสองถึง ม.4 เทอมแรก ก่อนจะพาทีมคว้าแชมป์ไนกี้รอบประเทศไทย ทว่าไปแพ้เจ้าภาพในรอบชิงฯรอบอาเซียน ทำให้ได้รองแชมป์ไปครอง

        จุดเปลี่ยนของเขาอยู่ที่ ม.4 จะเข้าเทอมสอง ซึ่งตอนนั้นทีมฟุตบอลของโรงเรียนเพ็ญสมิธ ได้ยุบแล้ว แต่ทุกคนรวมใจไปเล่นในรายการ มวก.นนทบุรี รุ่น 16 ปี โดยเขาได้เจรจากับปทุมคงคาไว้แล้ว แต่ด้วฟอร์มการเล่นของเขา ทำให้ โรเบิร์ต โปรคูเลอร์ ที่ทำงานให้กับ เอสซีจี เมืองทองฯ ดึง "เจ้าบอล" เข้าสู่อะคาเดมี่ "กิเลนผยอง" ในที่สุด

        การเข้ามาอยู่ในอะคาเดมี่ "กิเลนผยอง" ทำให้เขาได้เข้าไปเรียนที่ โพธินิมิตวิทยาคม ซึ่งเจอกับ สุริยา สิงห์มุ้ย, สุพร ปีนะกาตาโพธิ์ และพิธิวัต สุขจิตรธรรมกุล ก่อนที่จะกวาดแชมป์มาเพียบทั้ง ถ้วย ข, ค, กรมพละ และโค้ก คัพ จนกลายเป็น 1 ในเพลงแข้งของเอสซีจี เมืองทอง รุ่นคะนองที่ไปฝึก แอตเลติโก มาดริด 4 เดือน อีกทั้งยังขึ้นไปเล่นทีม 19 ปี ทีมชาติไทย ในยุคของ "น้าฉ่วย" สมชาย ชวยบุญชุม ในรอบคัดเลือก ที่เมืองไทย ตอน 18 ปีอีกซะด้วย

        เมื่อจบ ม.6 การเดินทางบนถนนลูกหนังอาชีพได้กำเนิดขึ้น เมื่อเจ้าตัวได้ไปอยู่กับทีม นครนายก เอฟซี ในตอนอายุ 19 ปี ก่อนที่ปีต่อมาจะมีส่วนไม่น้อยในการ พัทยา ยูไนเต็ด เลื่อนชั้นสู่ไทยลีก และฟอร์มที่ลากเลื้อยแบบสะเด่า บวกกับความเร็ว ทำให้เขาได้ก้าวมาเล่นให้กับ เอสซีจี เมืองทองฯ ชุดใหญ่ ในปีนี้ และยิงพาทีมชนะ อาร์มี่ ยูไนเต็ด 1-0 ในเกมเยือนมาแล้วด้วย

 "เจ้าบอล" ได้พูดถึงความสุขในวันนี้ว่า "ทุกอย่างมันเป็นเหมือนฝัน เพราะผมไม่คิดมาก่อนเลยว่า ผมจะก้าวมาถึงจุดนี้ และเงินทุกบาทของผมครึ่งหนึ่งผมให้ครอบครัวทั้งหมด อีกทั้งการได้ลงเล่นกับพี่มุ้ย (ธีรศิลป์ แดงดา) ที่ผมเฝ้ามองมาตลอด อีกทังเขายังสอนให้ผมเล่นในเกมให้ดีกว่าเดิม"

  "ยิ่งตอนนี้ทีมของเรามีพี่อุ้ม (ธีราทร บุญมาทัน) ที่ผมยกให้เป็นไอดอลในการเล่น ซึ่งผมเคยอ่านสกู๊ปชิ้นหนึ่งเค้าเคยบอกว่า ยิ่งด่าเขา เขายิ่งจะแกร่งขึ้น ทำให้ผมชอบพี่เค้ามาก ยิ่งตอนผมเปิดไอจีใหม่ๆผมลงรูปพี่เขาคนแรกเลยทีเดียว แม้ว่าช่วงแรกที่เขามาอยู่ ผมอาจจะเกร็งๆที่อยากจะคุยกับเขา แต่มาวันนี้พี่อุ้มได้สอนให้ผมรู้จักแนวทางการเล่น ทั้งเปิดบอลหรือส่งให้เพื่อน ซึ่งผมมองว่าผมจะขอพัฒนาตัวเอง เพื่อวันข้างหน้าจะก้าวขึ้นมาแข็งแกร่งเหมือนกับพี่เขา"

 
 ถือเป็นอีก 1 ดาวรุ่งของวงการฟุตบอลไทย สำหรับ "เจ้าบอล" ชัยวัฒน์ บุราณ ที่น่าจับตามองอย่างยิ่งในวงการลูกหนังบ้านเรา หลังจากได้เป็นหนึ่งในขุนพลเอสซีจี เมืองทองฯ นอกจากนี้ยังไปเล่นให้กับทีมชาติไทย ยู 21 ในการคว้าแชมป์ เนชั่นส์ คัพ 2016 ที่ประเทศมาเลเซีย

 
ซึ่งสาวก "กิเลนผยอง" ต้องรอลุ้นกันว่า ในปีหน้าเจ้าตัวจะมีชื่อไปป้องกันแชมป์ซีเกมส์ ครั้งที่ 29 หรือไม่?