อแล็ง แปร์กแร็ง อดีตกุนซือทีมชาติจีน เผยรู้ถึงศักยภาพที่พัฒนาต่อได้ของนักเตะไทยหลังเคยคุมทีมดวลกันมาแล้ว บอกหากได้คุมทีมจะยกระดับให้กับทีมได้แน่นอน

ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องของกุนซือใหญ่ทีมชาติไทย ชุดใหญ่ หลังจากมีกุนซือเดินทางมาสมัครมากมาย และเมื่อเวลา 11.30 น. ของวันจันทร์ที่ 24 เม.ย.นี้ อแล็ง แปร์กแร็ง อดีตกุนซือทีมชาติจีน ได้เดินทางเข้ามายังสมาคมกีฬาฟุตบบอลแห่งประเทศไทย เป็นรายที่ 8 ในการมายื่นด้วยตัวเองต่อจาก วินฟรีด เชเฟอร์,  เรเน มูเลนสตีน,  มิโลวาน ราเยวัช, จอร์วาน วิเอร่า,  มาซาฮิโระ ชิโมดะ, มาร์กอส ปาเกต้า และ ดราแกน ทาลายิช ก่อนที่จะขึ้นไปพบกับ "บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาบอลแห่งประเทศไทย, วิทยา เลาหกุล ประธานฝ่ายเทคนิค รวมทั้ง พาทิศ ศุภะพงษ์ โฆษกและรองเลขาธิการฝ่ายต่างประเทศ ซึ่งใช้เวลาการหารือทั้งหมด 1 ชั่วโมงครึ่ง

หลังจากหารือกับคีย์แมนของ ส.บอล เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อแล็ง แปร์กแร็ง ได้กล่าวว่า "การพูดคุยในวันนี้เป็นไปด้วยดี ช่วงที่ผมทำทีมชาติจีนได้มีโอกาสพาทีมอุ่นเครื่องกับทีมชาติไทยปี 2014 ซึ่งคิดว่าพวกเขามีศักยภาพที่พัฒนาต่อได้ หากได้ทำสามารถจะยกระดับให้กับทีมได้เหมือนกัน"

สำหรับ อแล็ง แปร์กแร็ง ผ่านการคุมทีมโอลิมปิก ลียง มาแล้ว ยังเคยกุมบังเหียน แซงต์-เอเตียน รวมทั้ง พอร์ทสมัธ ในลีกอังกฤษปี 2005 อีกด้วย โดยเจ้าตัวเข้ามาเป็นกุนซือทีมชาติจีน ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 26 ก.พ.2014 พาทีมเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย เอเชียน คัพ 2015 ทว่าด้วยผลงานในฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก รอบสุดท้าย กลุ่ม เอ ไม่ดีนัก ทำให้สมาคมฟุตบอลจีนทำการยกเลิกสัญญาเมื่อต้นปี 2017 ที่ผ่านมา

ย้อนกลับไปในวันที่ 10 ต.ค.2014 อแล็ง แปร์กแร็ง เพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่งในการคุมทีมชาติจีน และทางสมาคมฟุตบอลของแดนมังกร ได้ยื่นหนังสือมายังประเทศไทย เพื่อขอเชิญทัพ "ช้างศึก" ไปลับแข้งแก้ตัวจากปี 2013 ที่โดนยิงแบบยับเยินในปี 2013 ซึ่งแพ้ไป 1-5 คาบ้านตัวเอง

ในเกมดังกล่าว ทีมชาติไทย ส่งผู้เล่นหลายคนที่มาจากการคว้าอันดับ 4 เอเชียน เกมส์ ที่เกาหลีใต้ ทั้ง วสันต์ ฮมแสน, สราวุธ กัลยาณบัณฑิต, สุริยา สิงห์มุ้ย, ภิญโญ อินพินิจ, เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ และ สารัช อยู่เย็น รวมทั้งแข้งมากประสบการณ์ทั้ง สินทวีชัย หทัยรัตนกุล, ประวีณวัช บุญยงค์, ศุภเสกข์ ไก่แก้ว, อดุล หละโสะ, จักรพันธ์ พรใส ก่อนที่ "ช้างศึก" จะปราชัยไป 0-3

โดยแข้งมังกรได้ 3 เม็ดจากการทำเข้าประตูตัวเองของ สินทวีชัย หทัยรัตนกุล น.63, ซุน กี่ น.84 และ หยาง ซู น.88 อย่างไรก็ตามในปลายปี 2014 ทีมชาติไทย กลับสร้างปรากฏการณ์ ในการทวงศรัทธาของแฟนบอลกลับคืนมาอีกครั้ง ด้วยการกลับไปเป็นแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 ได้สำเร็จในรอบ 12 ปี