เพียงแค่ปีที่ 3 ของเจอร์เก้น คล็อปป์กับลิเวอร์พูล เขาสามารถสร้างผลงานสุดมหัศจรรย์ด้วยการพาหงส์แดง เข้าชิงแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกได้สำเร็จ

ในเกมเมื่อคืนที่ผ่านมากับ โรม่า เอาวางแผนเอาไว้อย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปาฏิหาริย์ซ้ำรอยเหมือนที่เกิดกับบาร์เซโลน่า และสุดท้ายผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นที่น่าพอใจ  เราจะไปเจาะความคิดของคล็อปป์ดูว่า เขาวางแผนตรงไหนบ้าง เพื่อให้ทีมเข้ารอบได้สำเร็จที่กรุงโรม

1) ลดบทบาทซาลาห์ โฟกัสที่มาเน่

จากผลงานสุดยอดของโม ซาลาห์ในเกมเลกแรกที่แอนฟิลด์ นั่นทำให้คล็อปป์รู้ดีว่า ซาลาห์ต้องโดนประกบหนัก และเล่นแรงใส่แน่ๆ เพื่อไม่ให้มีโอกาสพลิกบอลได้ เปิดมาห้านาทีแรก เราเห็นเลยว่า ดานิเอเล่ เด รอสซี่ไปสอยซาลาห์ล้มกลิ้งตั้งแต่กลางสนาม เป็นสัญญาณชัดๆว่า ซาลาห์จะไม่ได้เล่นง่ายๆ

ซึ่งเจอร์เก้น คล็อปป์ก็ไม่ฝืน เขาลดบทบาทซาลาห์ลง แค่ให้ทำหน้าที่ต่อบอลตามจังหวะเท่านั้น แต่เกมนี้ ให้ซาดิโอ มาเน่ เป็นคนขึ้นเกมรุกเอง เราจึงเห็นว่า นัดนี้บอลของหงส์แดงขึ้นทางซ้ายบ่อยมาก และมาเน่ก็ไม่ได้ทำให้คล็อปป์ผิดหวัง เขาถือเป็นนักเตะของลิเวอร์พูลที่เล่นดีที่สุดในเกมนี้เลยด้วย

2) ได้บทเรียนจากเกมที่แอนฟิลด์

ย้อนกลับไปในเกมที่ลิเวอร์พูลชนะ โรม่า 5-2 นัดนั้น ตอนที่หงส์นำ 5-0 คล็อปป์ไปเปลี่ยนตัวเอาซาลาห์ ออกเร็วเกินไป จนทำให้โรม่าคัมแบ็กมาได้สองลูก เกมนี้ เขารอ จนถึงที่สุดจริงๆ เมื่อเห็นว่าเหลืออีกแค่ 7 นาทีสุดท้าย จะหมดเวลา จึงค่อยถอดเอาตัวหลักออก เพื่อคงให้ทีมบาลานซ์เอาไว้ ให้นานที่สุด

3) ฟูลแบ็กเล่นอดทน ไม่เติมเกมรุก

ตามปกติ ฟูลแบ็กสองข้างของลิเวอร์พูล เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน จะเติมเกมรุกกันตลอด 90 นาที เพราะทั้งคู่ เป็นแบ็กจอมพลัง แถมสปีดจัด อย่างไรก็ตาม ในเกมนี้ คล็อปป์วางคำสั่งมาชัดเจน ไม่ให้ทั้งคู่ เติมขึ้นไปเล่นเกมรุกมากเกิน เพราะโรม่า จะใช้แบ็กสองข้างช่วยบุก ทั้งอเล็กซานดาร์ โคลารอฟ และ อเลสซานโดร ฟลอเรนซี่ นั่นทำให้ ปิดเกมด้านข้างของโรม่าได้เด็ดขาด เกมนี้ทั้ง 4 ประตูที่เสีย ไม่มีมาจากลูกครอสด้านข้างเลย

4) คล็อปป์แก้แท็กติก 3 รอบระหว่างเกม

ออกสตาร์ตเกม คล็อปป์ใช้ระบบ 4-3-3 ที่คุ้นเคย และช่วยให้ทีมขึ้นนำถึงสองครั้งสองคราว จากนั้นในครึ่งหลัง คล็อปป์ปรับหมากมาใช้ 4-4-2 จับเอาไวจ์นัลดุม ไปยืนขวา ถอยซาดิโอ มาเน่ มาเล่นเป็นมิดฟิลด์ฝั่งซ้าย และให้ฟีร์มีโน่ กับโม ซาลาห์ยืนค้ำแดนหน้า ซึ่งด้วยแผนนี้ ทีมก็ยันสกอร์ 2-2 เอาไว้ได้นาน จากนั้นตั้งแต่นาทีที่ 83 เป็นต้นไป พอส่งรักนาร์ คลาวานลงมา คล็อปป์ปรับมาใช้ระบบ 5-3-2 อัดกองหลังมาให้แน่นเพื่อปิดเกม

5) มีจังหวะเข้าทำเร็ว ไม่ครองบอลนาน

ย้อนกลับไปในเกมที่โรม่า ชนะบาร์เซโลน่า 3-0 เกมนั้น บาร์ซ่ามีโอกาสครองบอลมากถึง 57% พวกเขาเน้นการต่อบอลไปมา รอจังหวะชัวร์ๆจึงเข้าทำ จนสุดท้ายก็ได้แต่เคาะไปเคาะมา หาโอกาสยิงจะจะไม่ได้ แต่กับลิเวอร์พูลนัดนี้ ทีมหงส์แดงมีเปอร์เซ็นต์การครองบอลแค่ 42% เท่านั้น แต่สิ่งที่พวกเขาทำ คือเมื่อไหร่ก็ตาม ที่ตัดบอลได้ แทนที่จะค่อยๆเล่น ค่อยๆเซ็ต ทีมหงส์แดง เคาน์เตอร์แอทแท็กสวนกลับเร็วทันที เพื่อเอาประตูให้ได้ และนั่นเป็นที่มาของลูก 1-0 ด้วย