การเข้ามานั่งเก้าอี้นายใหญ่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะนี่คือสโมสรยักษ์ใหญ่ที่สุดในประเทศอังกฤษ พร้อมกับประวัติศาสตร์ที่สร้างความสำเร็จมากมาย ฉะนั้นใครก็ตามที่เข้ามาทำงานสืบสานตำนาน เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ต้องพร้อมแบกรับแรงกดดันมหาศาล
    แน่นอนว่านี่เป็นสถานการณ์ที่ โชเซ่ มูรินโญ่ กำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ โดยฤดูกาลที่ 3 ของเขาในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ไม่ราบรื่นเลยตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ จนกระทั่งเปิดฤดูกาล 2018-19 หลายฝ่ายต่างฟันธงกันว่า "เฮียมู" เตรียมจะโดนปลดในเร็ววันนี้ ถึงขนาดที่บ่อนรับพนันถูกกฎหมายในอังกฤษ เปิดอัตรากุนซือคนใหม่ ซึ่งว่ากันว่า ซีเนดีน ซีดาน คือตัวเก็งเต็งหนึ่งที่จะได้รับงานในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

    อย่างไรก็ตาม มูรินโญ่ ไม่ใช่ผู้จัดการทีมคนแรกของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่แสนยากลำบากในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา แม้แต่ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือของ "ปีศาจแดง" ยังคงต้องเจอกับช่วงเวลาบีบครั้นต่อเสียงวิจารณ์ที่เต็มไปด้วยความหวังของสาวก "เร้ด อาร์มี่"

    นี่เป็นเพียงน้ำย่อยสำหรับ 5 ตัวอย่างช่วงเวลาที่แสนยากลำบากของกุนซือในหน้าประวัตศาสตร์ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด  และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น......

1989-90 : เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

สถานการณ์เลวร้ายมากแค่ไหน

    ในช่วงเวลานั้น อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (ยังไม่ได้ติดยศเซอร์) กำลังโดนบอร์ดบริหารพิจารณาสั่งปลดออกจากตำแหน่งเนื่องจากผลงานไม่เข้าตา และมีความเป็นไปได้ว่าเขาจะถูกไล่ออกหลังจากจบฤดูกาล 1989-90

    เหตุผลก็เพราะ "เฟอร์กี้" คุมทีม 11 เกมโดยไม่สามารถสะกดคำว่าชนะได้เลยในการนำทัพ "ปีศาจแดง" ลงแข่งในลีกสูงสุดฤดูกาลนั้น ขณะที่บรรดา "เร้ด อาร์มี่" เริ่มทนไม่ไหวกับผลงานย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ที่แต่งตั้งกุนซือเลือดวิสกี้ นั่งเก้าอี้นายใหญ่เมื่อปี 1986

    งานนี้แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จัดการเขียนป้ายประท้วงเพื่อแสดงความไม่พอใจผลงานของ เฟอร์กูสัน ว่า "3 ปีมีแต่คำแก้ตัว" ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด โดย เฟอร์กูสัน ยอมรับเมื่อเดือนธันวาคม 1989 ว่า นั่นคือช่วงเวลาที่ "เลวร้ายที่สุด" กับการกุมบังเหียนสโมสร

เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ?

    ต้องยอมรับว่าประตูชัยของ มาร์ค โรบิน ในเกมเอฟเอ คัพ ที่พบกับ น็อตติ้งแฮมป์ ฟอเรสต์ ในเดือนมกราคม ช่วยเซฟงานของ เฟอร์กูสัน เอาไว้ แม้ว่าในเวลานั้นเขายืนยันเสียงดังฟังชัดว่าบอร์ดบริหารพร้อมหนุนหลังให้นั่งเก้าอี้นายใหญ่ต่อไปก็ตาม

    ส่วนฟอร์มการเล่นในเกมลีก็ดีวันดีคืน แม้พวกเขาจะจบฤดูกาลในอันดับ 13 ก็ตาม แต่ก็ได้ชูโทรพี่แชมป์เอฟเอ คัพ เมื่อเอาชนะ คริสตัล พาเลซ ในนัดชิงชนะเลิศ และต้องถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนในการคุมทีมของ "เฟอร์กี้ แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังต้องรออีก 2 ปีถึงผงาดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกภายใต้ผู้จัดการทีมที่มีชื่อเสียงที่สุดของพวกเขา

2005-06: เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน 

สถานการณ์เลวร้ายมากแค่ไหน

    ในยุคที่ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี กำลังป้องกันแชมป์ลีก ส่วนบรรดาแฟนแมนฯ ยูไนเต็ด ก็แสดงอาการไม่ปลื้มตระกูลเกลเซอร์ รวมไปถึงการตั้งข้อสงสัยของสโมสรในการทุ่มเงินคว้าตัว ไมเคิ่ล คาร์ริค (จากท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์) นี่คือช่วงเวลาสั่นคลอนง่อนแง้นของ "ปีศาจแดง" ก่อนที่ฤดูกาลดังกล่าวจะเปิดฉาก

    ผลเสมอ "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้, "เรือดำน้ำสีเหลือง" บียาร์เรอัล และ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ตามด้วยเปิดบ้านแพ้ "กุหลาบไฟ" แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส จากนั้นก็แพ้ยับ มิดเดิลสโบรช์ (1-4) และแพ้ ลีลล์ (0-1) เริ่มเกิดคำถามขึ้นมาแล้วว่า เฟอร์กูสัน เหมาะที่จะทำหน้าที่กุมบังเหียนต่อไปหรือไม่ ?   

เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ?

    ผลงานของทีมน่าสนใจขึ้นเมื่อพวกเขาชนะ เชลซี (1-0) แน่นอนว่าตอนนี้ความเชื่อมั่นเริ่มกลับมาสู่ทีมอีกครั้ง แต่ก็น่าเสียดายที่ทีมต้องโบกมือลาศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในรอบแบ่งกลุ่ม อย่างไรก็ตามผลงานในเกมลีก "ผีแดง" เริ่มกระเตื้องอย่างต่อเนื่อง และแพ้เพียงแค่ 3 เกมในพรีเมียร์ลีกเท่านั้นนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน

    อย่างไรก็ตาม เชลซี สามารถป้องกันแชมป์ลีกเอาไว้ได้สำเร็จ แต่ แมนฯ ยูไนเต็ด พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถยืนหยัดอยู่ได้แม้จะโดนสถานการณ์กดดันอย่างหนัก อย่างน้อยๆ ในฤดูกาลนั้นทีมก็ยังมีแชมป์ โดยผงาดคว้าถ้วยลีก คัพ (คาราบาว คัพ) ส่วนข้อสงสัยเรื่องการคว้าตัว คาร์คิค มาร่วมทัพก็ไม่มีอีกต่อไป

2007-08: เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน 

สถานการณ์เลวร้ายมากแค่ไหน

    ต้องบอกเลยว่าในฤดูกาลนี้ ไม่ค่อยมีอะไรน่ากังวลมากนักสำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แม้ว่าจะมีการตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับโอกาสการคว้าแชมป์ลีกก็ตาม

    ทัพ "ปีศาจแดง" เป็นเจ้าของแชมป์เมื่อซีซั่น 2006-07 แต่พวกเขาเก็บชัยชนะได้เพียงเกมเดียวจาก 5 แมตช์สุดท้ายของฤดูกาลดังกล่าว แถมยังแพ้ เชลซี ในนัดชิงชนะเลิศ ศึกเอฟเอ คัพ ด้วย หลังจากนั้นทีมก็เริ่มต้นฤดูกาล 2007-08 ด้วยการเสมอกับ เร้ดดิ้ง และ พอร์ทสมัธ ตามด้วยแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (0-1) ที่สำคัญ แมนฯ ยูฯ ต้องตามหลัง ลิเวอร์พูล ที่ออกสตาร์ทร้อนแรง ถึง 6 คะแนน ทำให้แฟนบอลเกิดอาการไม่พอใจมากขึ้นเป็นทวีคูณ

เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ?

    หลังจากนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ก็จัดการตอบโต้ความสงสัยของแฟนบอลจนไม่สิ้น เมื่อพวกเขาชนะ 19 แมตช์จาก 24 เกมก่อนปีใหม่ แถมเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับ 3 แนวรุกของทีมได้แก่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้, เวย์น รูนี่ย์ และ คาร์ลอส เตเวซ ค่อยๆ หมดไป สุดท้ายพวกเขาสามารถป้องกันแชมป์ลีกเอาไว้ได้ และยังได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นสมัยที่สองภายใต้การกุมบังเหียนของ "เฟอร์กี้" หลังชนะจุดโทษ เชลซี ที่กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย

2013-14: เดวิด มอยส์ 

สถานการณ์เลวร้ายมากแค่ไหน

    แมนฯ ยูฯ เอาชนะ วีแกน แอธเลติก คว้าถาดการกุศล คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ถือเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยกับการได้ เดวิด มอยส์ ทำหน้าที่กุมบังเหียนแทน "ท่านเซอร์" ที่ประกาศวางมือ พร้อมฝากผีฝากไข้ให้บอร์ดบริหารเลือก มอยส์ เข้ามาเป็นผู้สืบสานตำแหน่ง "ปีศาจแดง" คนต่อไป

    ในเกมแรกของซีซั่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไล่ทุบ "หงส์ขาว" สวอนซี ซิตี้ 4-1 แต่แล้วความจริงเริ่มปรากฎเมื่อพวกเขาแพ้ ลิเวอร์พูล (0-1) และที่สาวก "กองทัพแดง" เจ็บปวดรวดร้าวฤดีเป็นทวีคูณเมื่อพวกเขาแพ้ แมนฯ ซิตี้ คู่อริร่วมเมืองเละเทะ (1-4) งานนี้เริ่มมีสัญญาณบ่งชี้แล้วว่า มอยส์ ไม่น่าจะใช่ "ทายาทอสูร" แต่เป็นหายนะมากกว่า

    การแพ้เกมพรีเมียร์ลีก 4 แมตช์ในช่วงต้นปี 2014 แถมยังเป็นเกมใน "โรงละครแห่งความฝัน" 2 แมตช์  และแทบจะควานหาชัยชนะไม่ได้เลยก่อนช่วงต้นเดือนมีนาคม ยังไม่หมดแค่นั้นเมื่อทีมแพ้ โอลิมเปียกอส (0-2) และแพ้ยับ ลิเวอร์พูล กับแมนฯ ซิตี้ คาบ้าน (สกอร์0-3 ทั้งสองเกม) 

เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น

    ความพ่ายแพ้ต่อคู่อริแบบหมดทางสู้ เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าพวกเขายากที่จะกลับมามีลุ้นความสำเร็จในซีซั่นดังกล่าว แต่ชัยชนะเหนือ "สิงห์ผงาด" แอสตัน วิลล่า กับ "สาลิกาดง" นิวคาสเซิ่ล ช่วยยกระดับสปิริตของทีมขึ้นมา แต่การโบกมือลา แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยน้ำมือ "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค เป็นการยุติความหวังที่จะมีแชมป์ติดมือ แถมการแพ้ เอฟเวอร์ตัน ทำให้โอกาสติดท็อปโฟร์แทบเป็นไปไม่ได้เลย หลังจากนั้นอีก 48 ชั่วโมง มอยส์ ก็โดนอัปเปหิออกจากสโมสร

2015-16: หลุยส์ ฟาน กัล 

สถานการณ์เลวร้ายมากแค่ไหน

    ฟาน กัล เป็นบุคคลที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนักในฤดูกาลที่สองของเขากับ แมนฯ ยูไนเต็ด และเป็นฤดูกาลสุดท้ายซะด้วย โดยการเริ่มต้นซีซั่นแบบไม่คงเส้นคงวาทำให้ทีมต้องเจอกับสถานการณ์ที่ย่ำแย่ราวกับฝันร้ายในเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม โดย "ผีแดง" ลงแข่ง 8 เกมแถมสะกดคำว่าชนะไม่เป็นเลยจากการลงเล่นทุกรายการ ซึ่งแพ้ 4 เกมติดต่อกัน และตกรอบแบ่งกลุ่มแชมเปี้ยนส์ ลีก 

     สำหรับจุดที่ตกต่ำสุดๆ ก็คือการแพ้ สโต๊ค ซิตี้ (0-2) แถม เวย์น รูนี่ย์ กัปตันทีมโดนดร็อปจากตัวจริง รวมไปถึงฟอร์มการเล่นก็ห่วยบรมห่วยจนถึงขนาดที่ ฟาน กัล ออกโรงตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความกล้าในการเล่นของลูกทีม ขนาด ริโอ เฟอร์ดินาน ตำนานกองหลังยังตำหนิ กุนซือชาวดัตช์ ว่าเป็นตัวการให้ทีมผลงานดำดิ่งลงเหว

เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ?

    อย่างไรก็ตามผลงานที่แพ้แค่ 1 เกมจาก 9 แมตช์ ซึ่งรวมไปถึงการชนะคู่อริตลอดกาลที่แอนฟิลด์ (1-0) ช่วยลดแรงกดดันให้กับ ฟาน กัล ในระดับนึง แต่การแพ้ "นักบุญ" เซาธ์แฮมป์ตัน และมิดทิลแลนด์ ทำให้ปัญหาต่างๆ กลับมาสู่ทีมอีกครั้ง

    ในเวลานั้น เป๊ป กวารดิโอล่า ยืนยันชัดเจนว่าจะย้ายมากุมบังเหียน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขณะที่ มูรินโญ่ มีข่าวออกมาเป็นระยะว่าเตรียมคุม แมนฯ ยูไนเต็ด และการที่ "ผีแดง" จบฤดูกาลในอันดับ 5 งานนี้บอร์ดบริหารไม่รอช้าจัดการยื่นซองขาวให้ ฟาน กัล ทันทีเพียงแค่ 2 วันหลังจากที่เขานำทีมเถลิงแชมป์เอฟเอ คัพ