"อินทรีเหล็ก" เยอรมนี ล้มเหลวไม่เป็นท่าในศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย หลังจอดป้ายตั้งแต่รอบแรกในอันดับบ๊วย แถมแพ้ทีมอย่าง เกาหลีใต้ 0-2 เป็นการส่งท้าย ซึ่งจากทัวร์นาเมนต์ดังกล่าวทำให้เราเห็นจุดอ่อนหลายอย่างในทีม และถึงแม้ล่าสุดเสมอทีมแชมป์โลกอย่าง ฝรั่งเศส 0-0 ในเกม เนชั่นส์ ลีก ต่อด้วยเชือด เปรู 2-1 ในเกมอุ่นเครื่อง ฟอร์มโดยรวมของพวกเขาถือว่ายังไม่เป็นที่น่าพอใจ และนี่คือ 5 จุดที่กุนซือ โยอัคคิม เลิฟ ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน

- ขาดยอดกองหน้าตัวเป้า

ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เยอรมนี มี มิโรสลาฟ โคลเซ่ กับ มาริโอ โกเมซ เป็นหอกเป้า โดยเฉพาะ โคลเซ่ ถือเป็นกำลังสำคัญของทีมมาอย่างยาวนาน และมีส่วนช่วยทีมสอยแชมป์โลกมาครองเมื่อปี 2014 แต่ตอนนี้ไม่มีพวกเขาแล้ว (โคลเซ่ แขวนเกือก ส่วน โกเมซ รีไทร์ทีมชาติ) จึงกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ตอนนี้ยังไม่สามารถหาทางออกได้

โธมัส มุลเลอร์ ทำประตูได้อย่างมากมาย แต่เขาไม่ใช่หัวหอกตัวเป้าประเภทพร้อมจบสกอร์ให้ทีม ขณะที่ ติโม่ แวร์เนอร์ หัวหอกดาวรุ่งจาก แอร์เบ ไลป์ซิก เป็นคนที่ถูกโปรโมตอย่างหนักในระยะหลัง แต่สุดท้ายก็ยังไม่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญหรือเป็นตัวความหวังให้กับทีมได้ อย่างที่เราได้เห็นกันในศึก เวิลด์ คัพ 2018

มองไปที่ตัวเลือกอื่นๆ ก็ไม่เห็นใครที่สามารถคาดหวังได้ แต่ด้วยสัญญาอีก 4 ปีที่เหลือ เลิฟ น่าจะลองให้โอกาสกับ เควิน โฟลลันด์ หัวหอก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น อีกครั้ง รวมถึง ดาวี่ เซลเค่ กองหน้า แฮร์ธ่า เบอร์ลิน ที่พิสูจน์ตัวเองมาแล้วในระดับ ยู-21 ดู 

- นักเตะส่วนใหญ่ค้าแข้งในประเทศ   

บรรดาชาติใหญ่ๆ อย่าง สเปน และ ฝรั่งเศส นักเตะในทีมหลายคนค้าแข้งในลีกต่างแดน และส่วนใหญ่เป็นกำลังสำคัญให้กับสโมสรในเวที พรีเมียร์ลีก, ลา ลีกา, ลีก เอิง และ กัลโช่ เซเรีย อา แต่นักเตะราว 80% ในทัพ "อินทรีเหล็ก" เอาแต่เล่นอยู่ใน บุนเดสลีกา
       
ดูเผินๆ ประเด็นนี้อาจไม่ได้สำคัญอะไรมาก แต่มันก็ถือเป็นภัยเงียบ เพราะ บุนเดสลีกา ไม่ได้มีการแข่งขันที่เข้มข้นเหมือน พรีเมียร์ลีก หรือ ลา ลีกา ซึ่งจุดนี้ทำให้นักเตะ "อินทรีเหล็ก" พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ และนั่นทำให้พวกเขาขาดการพัฒนาฝีเท้า ก็หวังว่าจะมีนักเตะออกไปเล่นนอกเวที บุนเดสลีก อีก อย่าให้หยุดอยู่แค่ โทนี่ โครส, ลีรอย ซาเน่ และ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ 

- พึ่งพาความสามารถเฉพาะตัวมากไป

ช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะตอนเป็นแชมป์โลก 2014 เยอรมนี มีจุดเด่นอยู่ที่การเล่นเป็นทีม แต่ระยะหลังตรงนี้เริ่มหายไป และเริ่มพึ่งความสามารถของนักเตะคนใดคนหนึ่งแทน โดยเฉพาะกับสามแข้งหลักอย่าง โทนี่ โครส, โธมัส มุลเลอร์ และ มานูเอล นอยเออร์

เรื่องนี้มันย้อนแย้งกับทิศทางการเล่นของทีมอย่างชัดเจน เพราะ "อินทรีเหล็ก" เน้นเรื่องครองบอล ซึ่งนั่นจำเป็นต้องพึ่งการประสานงานเป็นอย่างมาก ดังนั้น เลิฟ จำเป็นต้องปรับแท็กติก หรือไม่ก็มีแผนการเล่นให้หลากหลายมากขึ้น เพราะมันจำเป็นอย่างมากยามลงเตะในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ๆ

- ครองบอลนานเกินไป
หลายครั้งที่ เยอรมนี ทิ้งโอกาสดีๆ ไปยามได้เล่นเกมโต้กลับเร็ว เพราะระยะหลังมีหลายครั้งที่พวกเขาแทนที่จะขึ้นหน้า แต่กลับเลือกส่งบอลคืนหลังไปให้แนวรับตั้งเกม ซึ่งมันจะทำให้คู่แข่งมีเวลาในการตั้งหลัก 

เทรนด์ฟุตบอลสมัยนี้เปลี่ยนไปอีกแล้ว การเล่นแบบครองบอลข้างเดียวที่เคยพา บาร์เซโลน่า ประสบความสำเร็จเป็นว่าเล่นแบบเหนือชั้นเริ่มตกยุคไป เพราะเกมลูกหนังในทุกวันนี้คิดเร็วทำเร็วกลายเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า ฝรั่งเศส ชุดคว้าแชมป์โลกเที่ยวล่าสุด ถือเป็นตัวอย่างที่ดีมาก เพราะในหลายๆ เกมทีมของกุนซือ ดีดิเย่ร์ เดสชองส์ ครองบอลน้อยกว่าคู่แข่งด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายเป็นฝ่ายชนะ

ดังนั้นถ้าหาก เยอรมนี ต้องการปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์เกมลูกหนังในปัจจุบัน พวกเขาจำเป็นต้องหันมาเล่นเกมบุกเร็ว อย่าเอาแต่ครองบอลไปเรื่อย เพราะการครองบอลมันช่วยแค่การควบคุมจังหวะของเกมเท่านั้น แต่มันไม่ได้การันตีประตู และมันยิ่งไม่ได้ผลเลย หากต้องเจอกับคู่แข่งที่เล่นเกมรับอย่างมีระเบียบวินัย

- ปัญหาภายในเยอะเกิน

เมซุต โอซิล กลายเป็นคนทรยศของชาติ หลังไปถ่ายรูปกับท่านผู้นำของตุรกี แถมยังกลายเป็นแพะรับบาปที่ทำให้ เยอรมนี ตกรอบแรกในศึกฟุตบอลโลก 2018 โดยที่แทบไม่มีใครมาปกป้องเขาเลย ทั้งที่ความจริงแล้วนักเตะทุกคนเล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐาน

ตอนนี้ โอซิล ตัดสินใจหันหลังให้กับการรับใช้ทีมชาติไปแล้ว แต่ก็ยังมีนักเตะอีกหลายคนที่มักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนอกสนาม ดังนั้นพวกเขาจำเป็นต้องพุ่งสมาธิไปที่การทำผลงานในสนามเป็นหลัก อย่าปล่อยให้ปัญหาต่างๆ เข้ามามีผลกระทบต่อฟอร์มการเล่น ขณะเดียวกันเรื่องแบบนี้พวกผู้ใหญ่ในสหพันธ์ฟุตบอลเยอรมัน (เดเอฟเบ) ก็ควรที่จะให้ความช่วยเหลือด้วย ถ้าไม่อยากเห็นทีมชาติของตัวเองตกต่ำนาน