หลากหลายประเด็นจากเกมนี้ ทั้งเรื่องแท็กติกของทีมชาติเยอรมัน และความร้อนแรงของอ็องตวน กรีซมันน์ ติดตามได้เลยในสกู๊ปนี้

1. เลิฟมาแบบปลอดภัยไว้ก่อน

ภายใต้ความกดดันที่ถาโถมเข้ามาหลังเกมพ่ายฮอลแลนด์ มาเกมนี้ โยอาคิม เลิฟ เน้นเกมรับด้วยการเพิ่มโควต้าแนวรับเพิ่มเข้าไปอีกรายในชุดตัวจริง

ในศึกฟุตบอลโลก เกมรับของอินทรีเหล็กถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก จากการจับคู่กันของเฌโรม บัวเต็ง และ มัตส์ ฮุมเมิ่ลส์ ซึ่งเกมนี้แนวรับผิวสีจากค่ายเสือใต้ มีปัญหาบาดเจ็บ จึงทำให้เลิฟ เลือก นิคลาส ซือเล่ และธิโล เคห์เรอร์ มายืนในระบบเซ็นเตอร์ฮาล์ฟสามคน ร่วมกับ ฮุมเมิ่ลส์ โดยมีมัทธีอาส กินเทอร์ และ นิโค ชูลซ์ ยืนเป็นวิงแบ็คทั้งสองฝั่ง

และจากการที่เลิฟ เลือกใช้แผนนี้ (5-4-1/3-4-3) ทำให้เราเพิ่งได้เห็นเยอรมนี เล่นระบบนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี นับตั้งแต่ยุค 2000s

2. แนวรุกที่มีสีสันของอินทรีเหล็ก
 

อีกหนึ่งปัญหาของเยอรมนี ในฟุตบอลโลกคือ แนวรุกที่หวังผลไม่ได้ ไม่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะความเร็วในการเข้าทำ

ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ความสำเร็จที่ผ่านมาของอินทรีเหล็กบนเวทีระดับอินเตอร์ เมซุต โอซิล คือผู้ที่ขับเคลื่อนเกมรุกของทีม แต่ในฟุตบอลโลกเจ้าตัวไม่สามารถทำแบบนั้นได้อีกแล้ว ขณะที่โธมัน มุลเลอร์ ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่อยู่ในช่วงที่มีปัญหาเรื่องฟอร์มการเล่น

ซึ่งเกมที่กรุงปารีส แนวรุกเยอรมนี เปลี่ยนโฉมไปจากเดิม โดยใช้ เลรอย ซาเน่ และ แซร์จ นาร์บี้ สองผู้เล่นความเร็วสูง โดยมี ติโม แวร์เนอร์  เป็นตัวค้ำอยู่ตรงกลาง ซึ่งผลที่ออกมาคือ การเข้าทำในพื้นที่สุดท้ายที่รวดเร็ว

ทำให้นึกถึงแผนการเล่นที่เลิฟเคยใช้ ในช่วงที่เขาประสบความสำเร็จ จนพาคว้าแชมป์รายการระดับเมเจอร์ สองรายการ

3. ป็อกบา ??
 

ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ ได้รับการยกย่องเป็นอย่างมากกับการทำให้ปอล ป็อกบา เจิดจรัสในฟุตบอลโลกที่ผ่านมา

แต่ในเกมนี้ ดูเหมือนว่าป็อกบา ดูจะไม่ค่อยมีสมาธิมากเท่าไหร่ โดยเฉพาะจากการเสียบอลในแดนกลาง จนถูก นาร์บี้ ฉกบอลไป และด้วยความฉลาดของอดีตเด็กปืนใหญ่ โจมตีพื้นที่ว่างระหว่างแนวรับระหว่างป็อกบาและกองหลัง

ซึ่งหากมองในทางกลับกัน นาร์บี้ไม่สามารถทำอะไรได้เมื่อเจอกับเอ็นโกโล่ ก็องเต้ แต่เมื่อเขาดวลกับป็อกบาแล้ว ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

4. มาดริด ส่งเข้าประกวด
 

ประตูที่ฝรั่งเศส ตีเสมอได้ คนที่ได้แต่นั่งยิ้มคงเป็นใครไม่ได้นอกจากดีเอโก้ ซิเมโอเน่ กุนซือใหญ่แห่งแอตเลติโก มาดริด

นั่นก็เพราะลูกนี้ เป็นการประสานงานกันระหว่างคู่หูทีมตรามี โดย ลูก้าส์ แอร์กน็องเดซ ครอสบอลมาให้กับ อ็องตวน กรีซมันน์ โขกเน้นเข้าประตู
   
ในช่วงขวบปีที่ผ่านมา ฟอร์มของแบ็กวัย 22 ปี ดีวันดีคืน และเกมนี้เขาก็แสดงให้เห็นอีกครั้งว่าเหมาะสมแค่ไหนภายใต้ชุดเล เบลอส์

5. กรีซมันน์ โชว์
 

ซิเมโอเน่ เผยว่า กรีซมันน์คือนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลกในช่วงปีที่ผ่านมา และเหมาะสมที่จะคว้าบัลลง ดอร์มาครอง แม้ตัวเต็งในรางวัลนี้จะเป็นลูก้า โมดริช ก็ตาม

อย่างไรก็ตาม แข้งวัย 27 ปี ทำผลงานได้โดดเด่นไม่แพ้ใครในปฏิทินปี 2018 ไม่ว่าจะในนามสโมสรหรือนามทีมชาติ โดยเฉพาะเกมใหญ่ๆที่เจ้าตัวมักจะสร้างผลงานได้ดีเสมอ

สองประตูในนัดชิง ยูโรปา ลีก จนพาตราหมีฟาดแชมป์มาครอง 19 ประตูในลาลีกา จบอันดับสองรองจากบาร์เซโลน่า 4 ประตูในฟุตบอลโลก รวมถึงประตูในนัดชิงฯ

แม้เอ็มบั๊ปเป้ จะเฉิดฉายได้อย่างรวดเร็ว ก็องเต้ คือทุกอย่างในแดนกลาง ราฟาแอล วาราน คือหัวใจในแนวรับ แต่ตอนนี้คงไม่มีใครเถียงแน่นอนว่า กรีซมันน์ คือคนที่สำคัญที่สุดในทีมชาติฝรั่งเศสตอนนี้ ซึ่งเขาก็แสดงให้เห็นแล้วในเกมเมื่อคืนที่ผ่านมา