หลังจากทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมตั้งแต่ต้นซีซั่น ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้รับการยกย่องว่าคู่ควรที่จะท้าทาย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่า ในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ โดย "หงส์แดง" ทำผลงานได้อย่างสุดยอด และมีแต้มนำ "เรือใบสีฟ้า" ถึง 7 คะแนน ก่อนที่ทั้งสองทีมต้องมาดวลกันในแมตช์ต้อนรับปีกุน

แน่นอนว่าในช่วงครึ่งซีซั่นแรก ลิเวอร์พูล ทำผลงานดีมีคุณภาพพร้อมพกสถิติสะกดคำว่า "แพ้" ในเกมลีกไม่เป็น แต่บทสรุปสุดท้ายในแมตช์เยือนเอติฮัด สเตเดี้ยม สถานการณ์ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด ทั้งการแพ้เกมแรกในซีซั่น และการโดนทีมของกุนซือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไล่บี้เหลือ 4 คะแนน

หากจะมองในแง่ร้ายในกรณีที่ ลิเวอร์พูล เกิดดวงแตกพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลนี้ แน่นอนว่าแมตช์ที่พวกเขาพลาดคว้า 3 คะแนนในเกมเยือน "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี, "ไอ้ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล และ แมนฯ ซิตี้ อาจจะมีส่วนสำคัญต่อความชอกช้ำของสาวก "เดอะ ค็อป" ก็เป็นได้

1. พลาดประตูเฉียดฉิวเกม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม)

ลิเวอร์พูล ต้องเดินทางไปเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นเกมแรกของปี 2019 หรือปีกุน ซึ่งไม่ "หมู" อย่างที่คิด โดยแมตช์นี้ "เรือใบสีฟ้า" ต้องเปิดเกมบุกเพื่อหวังจะเอาชนะ "หงส์แดง" และทำแต้มจี้จ่าฝูงลีก

กระนั้นทีมเยือนก็มีโอกาสทองจากจังหวะสวนกลับ โดย โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เล่นชิงหนึ่งสองกับ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ก่อนส่งให้ ซาดิโอ มาเน่ ยิ่งไปรับบอลและซัดหนีมือ เอแดร์ซอน โกล์ชาวบราซิเลียน แต่บอลไปชนเสา จังหวะนั้น จอห์น สโตนส์ วิ่งเข้ามาเตะทิ้งแต่บอลดันไปชนมือ นายด่านแซมบ้า และบอลกำลังลอยจะข้ามเส้นอยู่แล้ว แต่ สโตนส์ กลับตัวมาเตะทิ้งได้ทัน

จังหวะนั้นหากมองด้วยตาเปล่ายังไงก็เข้าประตู แต่ด้วยเทคโนโลยีโกลไลน์ ทำให้จังหวะนี้โปร่งใสเพราะจากภาพรีเพลย์เห็นชัดเจนว่าบอลยังไม่ผ่านเข้าเต็มใบ แม้จะผ่านเข้าไปแล้วเกือบ 99.99 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม

แน่นอนว่าหากจังหวะนั้นเป็นประตูรูปเกมอาจจะไม่ได้จบแบบที่เป็นอยู่ และเป็นไปได้ที่ ลิเวอร์พูล จะทำแต้มทิ้งห่าง แมนฯ ซิตี้ 10 คะแนน แต่สุดท้ายเรื่องนี้ไม่เกิดขึ้น และหากจบซีซั่นนี้บทสรุป "หงส์แดง" ชวดแชมป์ลีก นี่คือหนึ่งในเกมที่มีส่วนสำคัญในความล้มเหลวของพวกเขา
   
2. ยิงทิ้งยิงขว้างดวล อาร์เซน่อล (ที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม)

ลิเวอร์พูล ออกไปเยือน อาร์เซน่อล ในเกมเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยพวกเขาเป็นทีมที่เหนือกว่าหากมองในแง่ของการสร้างโอกาสในการทำประตู แต่โชคร้ายเหลือเกิน ที่ทัพ "เดอะ เร้ดส์" ดันใช้โอกาสเหล่านั้นเปลี่ยนเป็นประตูไม่ได้อย่างที่ควรจะเป็น

จังหวะจะๆ ที่น่าจะมีสกอร์มีหลายครั้งเหลือเกิน อย่างจังหวะที่ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ พลาดโอกาสทอง 2 ครั้ง ซึ่งหากมองจากศักยภาพของเขาในการยิงประตู แน่นอนว่านั่นเป็นอะไรที่น่าเสียดายจริงๆ เพราะเมื่อมองจากการสร้างโอกาส ลิเวอร์พูล ควรมีสกอร์นำห่างถึง 1-4 หรือ 1-3 เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่สามารถทำได้ และจบเกมด้วยการเสมอกันไป ซึ่งแน่นอนว่าในแมตช์นั้นแทนที่จะได้ 3 คะแนนเต็ม แต่กลับต้องเสียสองแต้มสำคัญไป อาจจะเป็นจุดผกผันหากยอดทีมแห่งถิ่นแอนฟิลด์ ต้องอกหักอีกครั้งในซีซั่นนี้

3. เซอร์ดาน ชากีรี่ พลาดทำประตูเกม เชลซี (ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์) 

เจอร์เก้น คล็อปป์ นำลูกทีมไปเยือน เชลซี ในเกมช่วงสิ้นเดือนกันยายน 2018 โดยในเวลานั้น "เดอะ เร้ดส์" ตามหลังเจ้าบ้านอยู่ 1-0 ในช่วงพักครึ่ง และจากนั้นในครึ่งหลัง นายใหญ่ชาวเยอรมัน ตัดสินใจเปลี่ยน เซอร์ดาน ชากีรี่ ลงมาแทน โม ซาลาห์

หลังจากที่ ชากีรี่ ลงสนามได้ไม่นาน เขาก็มีโอกาสที่จะส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายจากจังหวะที่เปิดบอลถวายพานของ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน แต่กลายเป็นว่า เพลย์เมกเกอร์ทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ ดันทำหมูหกหน้าตาเฉยเมื่อปาดบอลออกเสาไกลไปอย่างน่าเสียดาย

แม้ว่าในแมตช์นี้ ลิเวอร์พูล จะมาได้ประตูตีเสมอ 1-1 จากจังหวะการยิงที่สุดแสนงดงามของ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ก็ตาม แต่หากมองจากโอกาสในการทำประตูของทีม รวมทั้งจังหวะที่ ชากีรี่ พลาด แน่นอนว่านี่คืออีกหนึ่งเกมที่อาจจะส่งผลร้ายเมื่อจบซีซั่นก็เป็นได้