ประสบการณ์แรกของจอร์แดน เฮนเดอร์สันในยูนิฟอร์มทีมสิงโตคำรามเป็นเกมที่อังกฤษพ่ายแพ้ให้ฝรั่งเศส 1-2 เมื่อปลายปี 2010 ตอนนั้นโค้ชยังเป็นฟาบิโอ คาเปลโล่โดยฟอร์มโดยรวมเกมนั้นได้รับการสรุปสั้นๆจากบรรดาแท็บลอยด์ผู้ดีว่า"awful"

หมายถึงเลวร้ายมากกับกองกลางวัยกำดัดที่มารับบทบาทเป็นตัวปักกวาดหน้าแผงหลังสี่คน ถามคาเปลโล่ที่เป็นโค้ชก็ได้รับการชี้แจงว่า"ผมอยากทดลองเขา ด้วยพละกำลังที่เขามี เขาเองน่าจะทำได้ดี"
   
เมื่อวันอาทิตย์เกมที่ต้องการจุดเปลี่ยน ก็เพียงเริ่มครึ่งหลังได้ไม่นาน ก็เห็นลูกเปิดครอสจากด้านข้างอันเป็นสายตาที่เฉียบขาดจากมิดฟิลด์คนหนึ่งเข้าไปถึงศีรษะของซาดิโอ มาเน่ก่อนที่ลูกหนังกระแทกตาข่ายงดงาม
   
ภาษาชาวบ้านเรียกว่า"ลูกปลดล็อค"
   
ย้อนไปหลังเกมที่ลิเวอร์พูลเอาชนะเอฟซี ปอร์โต้นิ่มๆ2-0 ก็มีคำขอโทษจากปากเจอร์เก้น คล็อปป์ถึงกัปตันทีมคนเก่งของเขา "ผมต้องขอโทษเขาด้วย ขอโทษจริงๆที่ตลอดปีครึ่งมานี้จับเขาเล่นผิดตำแหน่ง ผมให้เขารับบทบาทเบอร์6มาตลอด ทั้งที่เขาเองเหมาะสมกับเบอร์8"

ตามความหมายของกุนซือผู้นิยมการสวมหมวกแปลว่าเบอร์ 6 คือกองกลางตัวรับ ส่วนเบอร์ 8 เป็นกองกลางที่ขยับสูงขึ้นหน่อย ประเภทบ็อกซ์ ทู บ็อกซ์

นี่เป็นเกมที่สามติดต่อกันแล้วที่เฮนเดอร์สันได้โอกาสรับตำแหน่ง"เบอร์8"ตั้งแต่วันแซงเซาธ์แฮมป์ตัน, ปอร์โต้และล่าสุดกับเชลซี
   
เหตุผลหลักเป็นเพราะผลงานของฟาบินโญ่ที่โดดเด่นบนความสม่ำเสมอทำให้คล็อปป์เองไม่สามารถวางแผนอย่างอื่นได้เลย ถ้าต้องการสิบเอ็ดตัวจริงดีสุดตอนนี้ ต้องใช้แท็กติกนี้
   
ต้องบอกว่าเป็นสามเกมติดต่อกันที่กัปตันทีมลิเวอร์พูลได้รับเสียงปรบมือกึกก้องจากแฟนบอลตัวเองหนาแน่นที่สุด วันที่เบียดสเปอร์ส2-1ในนาทีสุดท้าย ผมเองยังจำได้เลยว่าเขาเองยังถูกกองเชียร์ตัวเองโห่อยู่เลย หลายคนดูจะดีใจมากตอนที่เขาต้องเดินออกจากสนามถูกเปลี่ยนตัวออก
   
 มันก็มักมีคำถามก่อนหน้านี้ว่าทำไมคล็อปป์ถึงเลือกเฮนโด้ลงหรือทำไมคล็อปป์ถึงชมชอบในตัวเฮนโด้นัก? ผมเองก็แค่รู้สึกว่ามันก็อาจเหมือนยุคหนึ่งที่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันขัดใจแฟนๆเลือกเวส บราวน์บ้าง จอห์น โอเชียบ้างจนถึงดาร์เรน เฟล็ตเชอร์บ้างลงสนามประจำ
   
คนที่เป็นกุนซือคลุกคลีกับนักเตะทุกวัน บางวันก็กินนอนด้วยกัน ต้องเห็นอะไรบางอย่างที่คนภายนอกสัมผัสไม่ถึง...
   
สมัยที่เฮนเดอร์สันโผล่ขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของซันเดอร์แลนด์ ตำแหน่งแรกที่สตีฟ บรู๊ซมอบหมายให้เป็นปีกขวาก่อนที่จะค่อยๆถูกจับมายืนตรงกลาง ตอนแรกก็ไม่ได้มีแววอะไรหรอกแต่บรู๊ซเองเชื่อมั่นขัดเกลาให้กลายเป็นเพชรเม็ดงามของทีมแมวดำตอนนั้น
   
ครั้งหนึ่งเขาเองสารภาพว่าถึงขั้นร้องไห้มาเลยพอรู้ว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งในสัญญาที่ลิเวอร์พูลภายใต้เบรนแดน ร็อดเจอร์สตกลงกับฟูแล่มในการดึงคลินท์ เดมป์ซี่ย์มา
   

"พอผมรู้ก็กลับเข้าห้องได้แต่ร้องไห้ ผมคุยกับเอเยนต์ทันทีก่อนที่ผมจะบอกกลับไปว่าผมอยากสู้ ผมอยากพิสูจน์ให้ผู้จัดการทีมเห็นว่าผมมีดีที่จะอยู่กบทีมต่อ"เจ้าตัวเคยเปิดเผยเอาไว้

ตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับที่ยืนอยู่หน้าแผงหลังไม่เหมาะกับเขาก็คงตรงมันต้องมีเซนส์ในการยืนตำแหน่ง การดักทางคู่แข่งเหมือนอย่างเซร์คิโอ บุสเกตส์, โคล้ด มาเกเลเล่หรือเอ็นโกโล่ ก็องเต้ทำ
   
มันไม่ได้ใช่แต่พละกำลังเข้าห่ำหั่นแต่ต้องรู้ว่าตอนไหนควรเข้า ตอนไหนต้องดึงเกมช้า-เร็วและตอนไหนที่ต้องเรียกฟาวล์เพื่อหยุดเกม ไม่ได้ฟาวล์พร่ำเพรื่อ
   
ตำแหน่งเดียวกันนี้ก็ถูกโยนให้เขาตอนที่อังกฤษเตะฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายกับรัสเซีย วันที่แพ้ให้โครเอเชียรอบรองชนะเลิศก็มีเหตุผลสำคัญส่วนนึงมาจากการสู้กันไม่ได้ของเกมกลางสนาม ในเมื่ออีกฝั่งมีทั้งลูก้า โมดริชกับอีวาน ราคิติชนำทัพ
 
ความบังเอิญนำพาหลายสิ่งหลายอย่างเสมอ
   
คล็อปป์เองก็เหมือนมีใครมาสะกิดใจภายหลังจบเกมสุดระทึกที่เซนต์ แมรี่ส์ว่าแท้จริงแล้วต้องให้ตำแหน่งไหนกับกัปตันทีมตัวเอง
   
ใครจะรู้...นี่อาจเป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสำเร็จซีซั่นนี้