งานนี้เหล่าบรรดาเดอะ ค็อป ได้ยิ้มมุมปากแบบเล็กๆ เมื่อได้เห็นสถิติสุดทึ่งของเบิร์นลี่ย์ในทุกซีซั่นที่พวกเขาได้ในพรีเมียร์ลีก นั่นคือการเอาชนะทีมแชมป์เก่าได้ทุกครั้งในการเจอกันบนเวทีลีกสูงสุด ซึ่งโปรแกรมถัดไปของเดอะ คลาเล็ตส์ คือการดวลกับแมนฯซิตี้ ทีมแชมป์เก่าเมื่อซีซั่นที่แล้วนั่นเอง
    ท่ามกลางการลุ้นแชมป์สุดคู่คี่ระหว่าง ลิเวอร์พูล และ แมนฯซิตี้ โดยทัพเรือใบสีฟ้า มีคะแนนนำหงส์แดงอยู่ 1 คะแนน ขณะที่เหลือเกมให้ลงเล่นอีกเพียง 3 เกม ซึ่งทุกอย่างอยู่ในมือของแมนฯซิตี้

    หากเก็บชนะได้ทุกเกมก็จะคว้าแชมป์ได้แน่นอน..

    อย่างไรก็ดี เกมถัดไปของซิตี้ มันอาจไม่ใช่ทางที่สะดวกนัก เมื่อได้เห็นสถิติของเบิร์นลี่ย์ ในการดวลกับทีมแชมป์เก่า อีกทั้งทีมของชอน ไดซ์ คือทีมที่มีอัตราชนะทีมแชมป์เก่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกและอีกหนึ่งสถิติเผยว่าในทุกปีที่เบิร์นลี่ย์ อยู่ในพรีเมียร์ลีก พวกเขาจะเอาชนะทีมแชมป์เก่าได้ทุกครั้ง

    เบิร์นลี่ย์ ขึ้นชั้นมาบนเวทีพรีเมียร์ลีกได้ครั้งแรกเมื่อซีซั่น 2009/10 ซึ่งปีนั้นแมนฯยูไนเต็ด เป็นทีมแชมป์ประจำฤดูกาล 2008/09 จากนั้นพวกเขาก็ร่วงตกชั้นในปีต่อมาและกว่าจะขึ้นมาเล่นบนลีกสูงสุดอีกครั้งต้องรอเวลาถึง 4 ปี

    ซีซั่น 2014/15 เบิร์ลี่ย์ กลับขึ้นมาเล่นลีกท็อปไฟล์ทอีกครั้ง ซึ่งแมนฯซิตี้ เป็นแชมป์เก่าเมื่อฤดูกาล 2013/14 ทว่าขึ้นมาได้ปีเดียวก็ต้องร่วงไปแชมเปี้ยนชิพอีกครั้ง แต่ก็ใช้เวลาเพียงปีเดียวในการกลับขึ้นมาเล่น และจนถึงปัจจุบัน ซีซั่นนี้ก็เป็นปีที่สามติดต่อกันแล้วที่เดอะ คลาเล็ตส์ โลดแล่นบนพรีเมียร์ลีก

   ซึ่งในซีซั่นนี้ นัดแรกที่แมนฯซิตี้เจอกับเบิร์นลี่ย์ นั้น จบลงด้วยชัยชนะของเรือใบ 5-0 ...

    ทีนี้เราไปย้อนดูกันเลยในแต่ละเกมนั้น พวกเขาเอาชนะใครได้บ้าง..

    เบิร์นลี่ย์ 1-0 แมนฯยูไนเต็ด, 19 สิงหาคม 2009

     หลังชนะเพลย์ออฟต่อ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด เบิร์นลี่ย์ก็ส่งตัวเองขึ้นมาเล่นพรีเมียร์ลีกได้เป็นครั้งแรก

    แม้เกมแรกบนพรีเมียร์ลีก พวกเขาเปิดหัวด้วยการแพ้ต่อสโต็ค แต่ไม่กี่วันให้หลัง เดอะ คลาเล็ตส์ ก็สร้างชื่อด้วยการเปิดสนามเทิร์ฟ มัวร์ ล้มทีมแชมป์เก่า แมนฯยูไนเต็ดได้อย่างเหลือเชื่อ จากประตูชัยของร็อบบี้ เบล็ค

    เบิร์นลี่ย์ 1-0 แมนฯซิตี้, 14 มีนาคม 2015

    เดอะ คลาเร็ตส์ กลับมาบนลีกสูงสุดอีกครั้งหลังหายหน้าไป 4 ฤดูกาล

    ซิตี้มาเยือนถิ่นเทิร์ฟ มัวร์ ในช่วงกลางเดือนมีนาคม โดยฟอร์มของเบิร์นลี่ย์นั้นย่ำแย่เหลือเกิน 7 นัด แพ้ไปถึง 5 และเสมออีก 2 ทว่าประตูจากจอร์จ บอยด์ กลายเป็นประตูชัยให้เบิร์นลี่ย์ ยัดเยียดความปราชัยให้แชมป์เก่า ที่เต็มไปด้วยนักเตะซูเปอร์สตาร์อย่างดาบิด ซิลบา, ยาย่า ตูเร่, เซร์คิโอ อเกวโร่ รวมถึงโจ ฮาร์ท ที่ตอนนี้มาอยู่กับเบิร์นลี่ย์

    อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เป็นต้นมา เบิร์นลี่ย์ แพ้ต่อแมนฯซิตี้ ไป 6 จาก 7 นัด และเสียไปถึง 22 ประตู

    เบิร์นลี่ย์ 1-0 เลสเตอร์ ซิตี้, 31 มกราคม 2017

    ฤดูกาล 2015/16 คือปีมหัศจรรย์ของเลสเตอร์ ที่ประกาศศักดาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อย่างเหลือเชื่อ

    ช่วงวันสุดท้ายของตลาดปิดเป็นวันเดียวกับที่เบิร์นลี่ย์ ทำสถิติสโมสรคว้าตัว ร็อบบี้ เบรดี้ เข้ามาร่วมทีม เดอะ คลาเร็ตส์ ก็จัดการทีมแชมป์เก่าได้อีกครั้งจากประตูชนะของแซม โว๊คส์ ในช่วงที่เหลือเวลาอีกสามนาที ท่ามกลางการประท้วงของผู้เล่นเลสเตอร์ เนื่องจากบอลไปโดนมือของกองหน้าทีมชาติเวลส์ก่อนจะส่งบอลเข้าประตู

    เชลซี 2-3 เบิร์นลี่ย์, 12 สิงหาคม 2017

    ลูกทีมของชอน ไดซ์ เปิดตัวซีซั่น 2017/18 ได้อย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อบุกไปชนะเชลซี แชมป์เก่า ถึงสแตมฟอร์ด บริดจ์ โดยยิงได้ถึง 3 ประตู ทั้งที่ทีมของอันโตนิโอ คอนเต้ ขึ้นชื่อเรื่องเกมรับอย่างมาก

    แซม โว๊คส์ และสตีเฟ่น วอร์ด ช่วยกันพาเดอะ คลาเร็ตส์ ยิงขึ้นนำสิงห์บลูส์ ถึง 3-0 ในช่วงครึ่งแรก ก่อนที่อัลบาโร่ โมราต้า และดาวิด ลุยซ์ จะช่วยให้เชลซีไล่ขึ้นมา 2-3 ซึ่งในเกมนี้มีใบแดงเกิดขึ้นกับเจ้าถิ่นสองใบ โดยเป็นแกรี่ เคฮิลล์ และ เชส ฟาเบรกัส ถูกไล่ออกจากสนาม

    จากผลงานที่ดีในนัดเปิดสนาม ทำให้ซีซั่นนั้นเป็นปีที่ดีที่สุดของเบิร์นลี่ย์ในประวัติศาสตร์สโมสร เมื่อพวกเขาจบฤดูกาลด้วยอันดับ 7 พร้อมสิทธิ์ลงเล่นรอบคัดเลือก รอบสอง ศึกยูโรปา ลีก ซึ่งเป็นการลุยบอลยุโรปครั้งแรกของสโมสร