ดูเหมือนว่า แฟร้งค์ แลมพาร์ด ตำนานของ เชลซี จะได้นั่งเก้าอี้นายใหญ่ "สิงโตน้ำเงินคราม" แทนที่ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ที่ตัดสินใจอำลาทีมเพื่อไปกุมบังเหียน "ม้าลาย" ยูเวนตุส หลัง ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ต้นสังกัดของ "แลมพ์ส" อนุญาตให้ทั้งสองฝ่ายเจรจราหาข้อตกลงกันได้ตามสบาย

    แน่นอนว่า แลมพาร์ด มีสัญญาอยู่กับ "แกะเขาเหล็ก" แต่การทำงานให้กับสโมสรอันเป็นที่รักมันยากที่จะปฏิเสธได้จริงๆ แม้การหวนกลับสู่ถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ครั้งนี้ ตำนานมิดฟิลด์จอมยิงไกลทีมชาติอังกฤษ จะต้องเจอกับปัญหาเป็นกระบุงโกยก็ตาม

    ทั้งการเสียนักเตะชั้นยอดไปแล้วอย่าง เอแด็น อาซาร์ ไปให้กับ เรอัล มาดริด เรียบร้อยแล้ว แถมยังเจอสถานการณ์ถูก สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) สั่งลงโทษแบนห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเสริมทัพจนถึงช่วงซัมเมอร์หน้า และยังมีปัญหาอีกหลายเรื่อง ดังนั้น แลมพาร์ด จะต้องพยายามทุกวิธีทางที่จะช่วยให้ทีมกลับเล่นได้อย่างสุดยอดในฤดูกาล 2019-2020
 
1. เตรียมกองหน้าให้พร้อม
    ตำแหน่งหัวหอกเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ที่ เชลซี ต้องมองหาในช่วงซัมเมอร์นี้ เพราะหากเช็ครายชื่อกองหน้าของพวกเขาดูเหมือน โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ดาวยิงชาวฝรั่งเศส น่าจะเป็นนักเตะเพียงคนเดียวในตำแหน่งนี้ที่มีอนาคต หลังจากสโมสรจับขยายสัญญาใหม่เรียบร้อยแล้ว

ขณะที่ อัลบาโร่ โมราต้า ยังอยู่ไล่ล่าตาข่ายให้ "ตราหมี" แอตเลติโก มาดริด ต่อในฤดูกาล 2019/20 ส่วน กอนซาโล่ อิกวาอิน คงไม่ดีพอที่ทัพ "สิงโตน้ำเงินคราม" จะยอมจ่ายเงินค่าเหนื่อยให้กับนักเตะอีกต่อไปสำหรับการลงเล่นในซีซั่นใหม่นี้

    ในส่วนของการฟาดฟันเพื่อแย่งตำแหน่งหัวหอกระหว่าง  แทมมี่ อับราฮัมกับ  มิชี่ บาตชูอายี่ ซึ่งทั้งสองคนพร้อมที่จะยึดตัวจริงให้กับทีมชุดใหญ่ในฤดูกาลใหม่นี้ อย่างไรก็ตามทั้งสองคนถือว่าทำยิงประตูไม่ค่อยเยอะนักในตำแหน่งกองหน้า และนั่นทำให้ เชลซี จำเป็นต้องหาหัวหอกฝีเกือกคมมาร่วมสังกัดให้ได้

    ลองมองดูสถิติของ อับราฮัม ที่เล่นแบบยืมตัวกับ "สิงห์ผงาด" แอสตัน วิลล่า เขาซัดไป 26 ประตูในเกมเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ขณะที่ บาตชูอายี่ ตะบันไปเพียง 5 ประตูในเกมพรีเมียร์ลีกให้กับ "ดิ อีเกิ้ลส์" คริสตัล พาเลซ และอีก 1 ประตูในลา ลีกา ตอนยืมตัวกับ "ไอ้ค้างคาว" บาเลนเซีย

2. เติมเต็มตำแหน่ง อาซาร์ ที่หายไป
    นี่จะเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีที่ เชลซี จะไม่มี เอแด็น อาซาร์ อยู่ในขุมกำลังของพวกเขาในการแข่งขันเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ดังนั้น "สิงห์บลูส์" มีหลุมใหญ่ราวกับหลุมดำ (แบล็คโฮล) ที่กว้างใหญ่ไฟศาลที่พวกเขาจะต้องพยายามหานักเตะมาเติมเต็มในส่วนนี้

อาซาร์ ซัดไป 16 ประตูในเกมลีกพร้อมกับทำ 15 แอสซิสต์เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ดังนั้นนี่คือสถิติที่ดีที่สุดของนักเตะที่พวกเขามีอยู่ในทีม แน่นอนว่า วิลเลี่ยม กับ เปโดร คงจะต้องก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญของทีม ขณะที่ คริสเตียน พูลิซิช สตาร์ดาวรุ่งทีมชาติสหรัฐอเมริกา และ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย จะต้องพยายามช่วยทีมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

    อย่างไรก็ตามปัญหาใหญ่ที่สุดของ เชลซี ก็คือพวกเขาจะไม่มี อาซาร์ เอาไว้พึ่งพาเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ทีมคิดอะไรไม่ออก เหมือนกับที่พวกเขาคุ้นชิน ที่สำคัญทีมจะไม่มี เพลย์เมกเกอร์ทีมชาติเบลเยียม ร่ายเวทมนตร์มหัศจรรย์ในสนามอีกต่อไปแล้ว ดังนั้น เชลซี ต้องเน้นการเล่นเป็นทีมให้มากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน

3. ก็องเต้เล่นตำแหน่งถนัด
    หลังจาก 3 ฤดูกาลที่สุดแสนอัศจรรย์กับ "สุนัขจิ้งจอก" เลสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี แต่ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ต้องมาเจอกับสถานการณ์ที่สุดแตกต่างเมื่อโดนจับไปเล่นสูงบริเวณริมเส้นฝั่งขวา แน่นอนการทำแบบนี้ทำให้มีข้อสงสัยเกิดขึ้นตลอดว่าทำไม เมาริซิโอ ซาร์รี่ ถึงทำแบบนั้นสมัยที่อยู่ถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์

ในกรณีที่มองด้านบวกสำหรับการเล่นในตำแหน่งดังกล่าวของ ก็องเต้ เพราะเมื่อเขาได้ขยับขึ้นไปเล่นสูงย่อมทำให้ กองกลางทีมชาติฝรั่งเศส ชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 ไล่กดดันคู่แข่ง และยังเปิดโอกาสให้กับเจ้าตัวได้ทำประตูมากกว่าในฤดูกาลอื่นๆ

    อย่างไรก็ตามเมื่อมองในด้านลบการที่ ก็องเต้ ไม่ได้เล่นในตำแหน่งที่ตนเองถนัด แน่นอนว่านั่นทำให้บางครั้งเกมรับของทีมเปิดกว้างมากเกินไป ฉะนั้น ดาวเตะเลือดเฟร้นช์ ควรจะกลับไปเล่นในบทบาทที่คุ้นเคย และนี่คือหนึ่งในเรื่องนายใหญ่คนใหม่ต้องหาทางออกให้ดีที่สุด

4. ประเมินบรรดาแข้งตัวยืม
    เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมามีแข้ง "สิงห์บลูส์" ถึง 42 รายที่ถูกส่งไปเล่นแบบยืมตัว โดยนักเตะเหล่านี้อุดมไปด้วยพรสวรรค์แต่จำเป็นต้องถูกส่งไปฝึกปรือฝีเท้าดีกว่านั่งจับเจ่าในฐานะตัวสำรอง แต่ในเวลานี้ แลมพาร์ด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคาดหวังในตัวแข้งตัวยืมเหล่านี้สำหรับฤดูกาลใหม่

 เหตุผลก็เพราะว่า เชลซี โดน ยูฟ่า สั่งแบนห้ามยุ่งเกี่ยวกับตลาดซื้อขายนักเตะช่วงซัมเมอร์นี้ กับช่วงเดือนมกราคมปีหน้า ทำให้นักเตะที่ถูกยืมทั้งหมดนี้มีความหมายกับสโมสรมากๆ เพราะแข้งเหล่านี้จะช่วยเติมเต็มขุมกำลังของทีมในการสู้ศึกหนักทั้งเกมลีก และฟุตบอลถ้วยยุโรป

    นักเตะอย่าง เมสัน เมาท์ ,แทมมี่ อับราฮัม, รีซ เจมส์, เทรฟโวห์ ชาโลบาห์, ติเอมูเอ้ บากาโยโก้, ฟิกาโย โทโมริ  และ บาตชูอายี่  และอาจจะมีมากกว่านี้ที่คาดว่าพร้อมสู้เต็มสูบเพื่อโอกาสในการยึดตำแหน่งในทีม แน่นอนว่านี่เป็นโอกาสทองสำหรับนักเตะเหล่านี้ด้วย

5. รื้อฟื้นความสัมพันธ์กับแฟนบอล
    แน่นอนว่านี่ที่แสนยากลำบากนี้อาจจะเป็นเรื่องง่ายได้หาก แลมพาร์ด ได้รับโอกาสให้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของ เชลซี ฉะนั้นนี่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับ "แลมพ์สไ ที่จะเข้ามาทำงาน และเชื่อมสัมพันธ์กับบรรดาสาวก "สิงห์บลูส์" ทันที รวมทั้งไม่ต้องสงสัยว่าเขาจะมีเวลาเยอะมากในการปรับตัวสำหรับงานนี้
    
   

ย้อนไปตอนที่ ซาร์รี่ ขี่หลัง "สิงโตน้ำเงินคราม" เขาไม่เคยติดต่อหรือผูกสัมพันธ์กับแฟนบอลเลย จริงๆ แล้วบางทีความสัมพันธ์ระหว่างผู้จัดการทีม และสาวกพันธุ์แท้ของทีมย่ำแย่สุดๆ นับตั้งแต่ในยุคที่ ราฟาเอล เบนิเตซ ผู้จัดการทีมชาวสแปนิช กุมบังเหียน

    หากไม่ใช่ แลมพาร์ด เข้ามาคุมทีม แน่นอนว่าใครก็ตามที่ได้รับงานนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับกองเชียร์ เพราะถ้าหากหลายๆ อย่างไม่ถูกต้องเหมาะสมโอกาสที่จะได้รับแรงหนุนหลังจากแฟนบอลก็คือจะน้อยนิดกระจิดริดไปตลอดทั้งซีซั่น