ศึกแชมป์ชนแชมป์ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล เตรียมจัด โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ผนึกคม ซาดิโอ มาเน่ ล่าสกอร์ เกมพบ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ที่จะใช้บริการ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ พังตาข่าย ในศึกฟุตบอล ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 2019 คืนวันพุธที่ 14 ส.ค. ศกนี้ ถ่ายทอดสด : SuperSport 3, เวลา : 02.00 น.
 
ปรีวิวฟุตบอล ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 2019
 วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562
 ลิเวอร์พูล (อังกฤษ)   -   เชลซี (อังกฤษ)
 ถ่ายทอดสด : SuperSport 3, เวลา : 02.00 น.
 

สนาม : โวดาโฟน พาร์ค, อิสตันบูล (สนามกลาง)
     เจอร์เก้น คล็อปป์ เทรนเนอร์ลิเวอร์พูล แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก พาทีมถล่มนอริช ซิตี้ 4-1 ในเกมลีกนัดเปิดสนาม ทำให้ไม่แพ้มา 3 เกมแล้ว หลังจากที่เริ่มอุ่นเครื่องปรีซีซั่นไม่ค่อยดีสักเท่าไร

 
    สภาพทีมเกมนี้ ที่แน่ๆ จะไม่มี อลีสซง เบ็คเกอร์ ประตูมือ 1 ที่เจ็บน่องจากเกม ตอนแรกมีข่าวว่าจะพักราว 4-5 สัปดาห์ แต่ล่าสุดเหลือเพียงแค่ 2-3 วีกเท่านั้น
 
    อาเดรียน นายทวารชาวสเปนที่ย้ายมาแบบฟรีๆ ไม่เสียค่าตัวจะได้เฝ้าเสาทำหน้าต่อไปเช่นเดิม
 
    ส่วน ซาดิโอ มาเน่ ซูเปอร์สตาร์เซเนกัล ที่มีชื่อสำรอง ก็น่าจะได้ออกสตาร์ตตามปกติ
 
 

     นอกจากนี้ การที่มีเกมลีกกับเซาธ์แฮมป์ตันรออยู่ในช่วงสุดสัปดาห์ ก็เป็นไปได้ที่คล็อปป์อาจมีการหมุนเวียนนักเตะให้พวกแข้งสำรองบางรายอย่าง โฌแอล มาติป, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน และ เจมส์ มิลเนอร์ สลับมาออกสตาร์ตบ้างเช่นกัน
 
    ด้าน แฟร้งค์ แลมพาร์ด เทรนเนอร์เชลซี แชมป์ยูโรปา ลีก พาทีมแพ้แมนฯ ยูไนเต็ด 0-4 ในเกมลีกนัดเปิดสนาม เป็นการแพ้นัดแรกในรอบ 5 เกม
 
    ทำให้สถานการณ์กดดันไม่น้อย เริ่มมีกระแสต่อต้านจากแฟนบอลมาก
 
 

 
    ความพร้อมเกมนี้ แลมพ์สน่าจะมีการเปลี่ยนทีมพอสมควร เพื่อเพิ่มความสดใหม่ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่ยังไม่ฟิตเต็มที่ เป็นแค่สำรองในเกมก่อน แต่เกมนี้น่าจะได้ออกสตาร์ต เช่นเดียวกับพวกสำรองคนอื่นๆ อย่าง คริสเตียน พูลิซิช และ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ในแนวรุก
 
    ส่วนเกมรับ คูร์ท ซูม่า แม้ฟอร์มจะน่าผิดหวังมากในเกมแรก แต่ก็น่าจะได้ทำหน้าที่ต่อไป เพราะ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ยังไม่ฟิต แถมอีกตัวเลือกอย่าง ฟิคาโย่ โทโมรี่ ก็ยังเด็กน้อยเกินไป
 
 

 
    อย่างไรก็ตาม วิลเลี่ยนที่ไม่มีชื่อในเกมก่อนจะบินไปกับทีมด้วย ส่วน คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ยังไม่พร้อมต้องพักรักษาตัวต่อไป
    
 รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม   
     ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อาเดรียน - เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โฌแอล มาติป, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน - อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เจมส์ มิลเนอร์ - โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่, ซาดิโอ มาเน่
     เทรนเนอร์ : เจอร์เก้น คล็อปป์
 
    เชลซี (4-2-3-1) : เกปา อาร์รีซาบาลาก้า - เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, อันเดรียส คริสเตนเซ่น, คูร์ท ซูม่า, มาร์กอส อลอนโซ่ - เอ็นโกโล่ ก็องเต้, จอร์จินโญ่ - เปโดร โรดริเกซ, รอสส์ บาร์คลี่ย์, คริสเตียน พูลิซิช - โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์  
     เทรนเนอร์ : แฟร้งค์ แลมพาร์ด   
 
     ผู้ตัดสิน : สเตฟานี่ ฟรัปปาร์ (ฝรั่งเศส)
 

เกร็ดซูเปอร์ คัพ
 - ลิเวอร์พูลได้เล่นนัดนี้ในฐานะแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นก่อนที่ชนะสเปอร์ส 2-0
 - เชลซีได้เล่นนัดนี้ในฐานะแชมป์ยูฟ่า ยูโรปา ลีก ซีซั่นก่อนที่ชนะอาร์เซน่อล 4-1
 - เชลซีไร้พ่ายตลอด 15 เกมสโมสรยุโรปซีซั่นก่อน (ชนะ 12 เสมอ 3) เป็นสถิติดีสุดยูโรปา ลีก
 - ลูกทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด หวังยืดสถิติไร้พ่ายเกมยุโรป 15 นัดของสโมสรนับตั้งแต่ออกไปพ่ายบาร์เซโลน่า 0-3 เกมแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดสอง เมื่อเดือนมีนาคม 2018
 - เชลซียิงอย่างน้อย 3 ประตู ใน 5 จาก 8 เกมยุโรปหลังสุด และยิงรวมทั้งซีซั่น 36 ประตู น้อยกว่าสถิติในยูโรปา ลีก ที่เอฟซี ปอร์โต้ ทำไว้ในซีซั่น 2010-11 เพียงลูกเดียวเท่านั้น
 - เชลซีลงเล่นยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 3 สมัย (แพ้ เรอัล มาดริด 0-1 ปี 1998, แพ้ แอต.มาดริด 1-4 ปี 2012 และดวลจุดโทษแพ้บาเยิร์น มิวนิค หลังเสมอ 2-2 ช่วงต่อเวลาพิเศษ ปี 2013) โดยแลมพาร์ดเป็นกัปตันทีมใน 2 นัดหลังสุด
 - เชลซี ชนะ 7 จาก 18 เกมยุโรปที่เจอทีมอังกฤษด้วยกัน (เสมอ 7 แพ้ 4)
 - เชลซีลงเล่นเกมทางการในอิสตันบูลมาแล้ว 3 นัด (ชนะ 1 เสมอ 1 แพ้ 1) ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่จะเตะที่เบซิคตัส หรือโวดาโฟน พาร์ค โดยเกมบุกชนะเบซิคตัส 2-0 ในแชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่น 2003/04 ต้องย้ายเตะในเยอรมัน ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย
 - ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์สโมสรยุโรปรายการที่ 12 (แชมเปี้ยนส์ ลีก 3, ยูโรปา ลีก 3, ซูเปอร์ คัพ 3)
 - ลิเวอร์พูล ชนะ 15 จาก 16 เกมลีกและบอลถ้วยหลังสุด
 - ลิเวอร์พูล ชนะ 5 จาก 6 เกมสโมสรยุโรปหลังสุด
 - ลิเวอร์พูลไม่แพ้ทีมอังกฤษด้วยกันในเกมยุโรป 6 นัดหลังตั้งแต่เปิดบ้านแพ้ เชลซี 1-3 ในรอบก่อนรองชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก เดือนเมษายน 2009
 - ลิเวอร์พูล ชนะ 9 จาก 21 เกมสโมสรยุโรปที่เจอทีมอังกฤษด้วยกัน (เสมอ 8 แพ้ 5)
 - ลิเวอร์พูลไม่เคยชนะเกมลงเตะที่อิสตันบูลตลอดทั้ง 5 นัด (เสมอ 2 แพ้ 3) ทว่าเคยมีประสบการณ์ยากจะลืมเลือนพลิกจากตามหลัง 0-3 กลับมาไล่ตีเสมอเอซี มิลาน ก่อนดวลเป้าคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2005
 - ลิเวอร์พูลชนะจุดโทษ 3 จาก 4 ครั้งในเวทียุโรป (รวมถึงเฉือนเชลซี ปี 2007) แพ้หนเดียวต่อ เบซิคตัส ในยูโรปา ลีก ปี 2015