โอเล่ กุนนาร์ โซลชา นายใหญ่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตัดสินใจส่งผู้เล่นสำรองและดาวรุ่งลงสนามในเกมเยือน อาแซด อัล์คมาร์ แม้ว่าผลการแข่งขันจะจบลงด้วยสกอร์ 0-0 ในศึกยูฟ่า ยูโรปา ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม แอล เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา แต่ถือว่าเป็น 1 แต้มที่คุ้มค่าอย่างแท้จริง

"น้าลูกอม" ตัดสินใจเปลี่ยนผู้เล่นถึง 9 คนจากเกมที่เสมอ "ไอ้ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล 1-1 และเลือกส่งดาวรุ่งจากศูนย์ฝึกเยาวชนลงตัวจริง 3 คน ได้แก่ เมสัน กรีนวู้ด, อังเกล โกเมส และ เบรนดอน วิลเลียมส์ โดยทั้ง 3 หน่อไม่ทำให้แฟนบอล "ผีแดง" ต้องผิดหวังเมื่อโชว์ฟอร์มได้ดีในระดับหนึ่งเลยทีเดียว

ขณะเดียวกันการตัดสินใจดร็อป เซร์คิโอ โรเมโร่ และให้ ดาบิด เด เคอา ลงเฝ้าเสาตัวจริง ถือเป็นการเลือกที่ถูกต้องของ โซลชา เพราะเกมนี้ นายด่านชาวสแปนิช ได้แสดงให้เห็นถึงคุณค่าที่คู่ควรกับการรับค่าเหนื่อยแพงสุดประจำสโมสร เมื่อเซฟจังหวะสำคัญให้ทีมได้หลายครั้งในแมตช์นี้
 
1. มาต้า ตัวจริงรู้หรือเปล่า ?
เกมนี้ โซลชา แสดงออกชัดเจนว่าต้องการใช้งานผู้เล่นดาวรุ่งลงสนาม โดยเช็คจากรายชื่อ 11 ตัวจริง เบรนดอน วิลเลียมส์, อังเกล โกเมส และ เมสัน กรีนวู้ด แข้งจากศูนย์เยาวชนผสมกับพวกนักเตะเก๋าที่ไม่ค่อยได้ลงตัวจริงในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

หนึ่งในนักเตะมากประสบการณ์ก็คือ ฆวน มาต้า ที่ได้ลงสนามเพราะ โซลชา ต้องการใช้ความเก๋ามาช่วยประคับประครองบรรดาลูกกรอกคะนอง แต่ดูเหมือนว่า ดาวเตะชาวสแปนิช ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง ที่สำคัญแทบไม่มีส่วนอะไรเลยกับเกมนี้

ลองคิดดูก็แล้วกันตั้งแต่เสียงนกหวีดแรกจนกระทั่งโดนเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 83 แทบจะไม่ได้ยินเสียงพากษ์ชื่อ มาต้า ออกไมค์ด้วยซ้ำ งานนี้ทำให้สาวก "ปีศาจแดง" งงในงงก็คือทำไม "น้าลูกอม" ถึงทู่ซี้ให้ อดีตดาวเตะเชลซี และ บาเลนเซีย อยู่ในสนามจนแทบจบเกม

เพราะหลังจากที่ตัดสินใจส่ง สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ลงมาแทน  เกมของ "ปีศาจแดง" ดูดีขึ้นทันที ที่สำคัญ "บิ๊กสกอตต์" ยังโชว์ทักษะจ่ายบอลแบบคิลเลอร์พาสให้กับ เจสซี่ ลินการ์ด ในกรอบเขตโทษ แต่น่าเสียดายที่ ดาวรุ่งตลอดกาล ตะบันออกเสาไกลหน้าตาเฉย !!

2. เด เคอา สำคัญกับทีมเสมอ 
ตามหลักการแล้วในเกมยูฟ่า ยูโรปา ลีก นายทวารหลักของ "ผีแดง" ก็คือ เซร์คิโอ โรเมโร่ แต่ในแมตช์นี้ โซลชา เลือกส่ง ดาบิด เด เคอา ทำหน้าที่เฝ้าเสา และแน่นอนว่าการทำแบบนี้ถือว่าเป็นการคิดถูกจริงๆ เพราะ โกล์ชาวสแปนิช ช่วยเซฟจังหวะสำคัญได้หลายต่อหลายครั้ง

หากบอกตามตรงแน่นอนว่าเรื่องนี้ถือเป็นเซอร์ไพรส์เพราะปกติแล้ว นายทวารชาวอาร์เจนไตน์ ต้องได้แต่งองค์ทรงเครื่องเป็นพระเอกในกรอบสี่เหลี่ยม แต่ในแมตช์นี้เขาต้องทำหน้าที่เป็นเพียงยางอะไหล่นั่งกัดเล็บอยู่ในซุ้มม้านั่งสำรอง

ความจริงแล้วเกมแรก โรเมโร่ ได้ลงเล่นตัวจริงในแมตช์ชนะ อัสตาน่า แต่ในเกมเยือน อัล์คมาร์ กุนซือชาวนอร์เวย์ ขอเลือกใช้งาน เด เคอา แน่นอนว่าเหตุผลสำคัญเป็นเพราะเกมนี้ทีมใช้ผู้เล่นสำรองและดาวรุ่ง ฉะนั้นหากมีโกลที่ไว้วางใจได้ น่าจะทำให้การเล่นของทีมโดยเฉพาเกมรับอุ่นใจยิ่งขึ้น

แน่นอนว่า โซลชา คงไม่เสียใจที่ตัดสินใจแบบนั้น เพราะ เด เคอา แสดงให้เห็นถึงคุณค่าชั้นยอดเพราะเขาโชว์จังหวะเซฟสำคัญหลายแมตช์โดยเฉพาะการยิงสุดงามของ อุสซามา อิดริสซี่ ที่จะเสียบโคนเสาอยู่แล้ว แต่ นายด่านเลือดกระทิงดุ ปัดออกไปอย่างเหลือเชื่อ

ส่วนในครึ่งหลังมีหลายจังหวะที่ เด เคอา ช่วยป้องกันไม่ให้ แมนฯ ยูไนเต็ด โดน อัล์คมาร์ เก็บ 3 คะแนนได้ ก็ต้องถือว่าการตัดสินใจที่ดีมากๆ ที่เลือกเขาเฝ้าเสาตั้งแต่ต้นเกม
   
3. เกมรุกไร้ประสิทธิภาพ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ชื่อว่าเป็นทีมที่มีศักยภาพในเกมบุกช่วงยุคที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กระนั้นนับตั้งแต่ที่ "เซอร์เฟอร์กี้" อำลาตำแหน่งนายใหญ่แห่งถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด พวกเขาไม่ใช่ทีมที่มีศักยภาพในการเล่นเกมบุกเหมือนเดิมอีกต่อไป

นับตั้งแต่ยุค เดวิด มอยส์, หลุยส์ ฟาน กัล, โชเซ่ มูรินโญ่ จนกระทั่งมาถึง โซลชา สาวก  "ผีแดง" ต่างก็อยากเห็นทีมที่เล่นเกมบุกน่าตื่นตาตื่นใจ โดย 3 กุนซือแรกไม่สามารถทำได้อย่างที่คาดหวัง ในขณะที่ "น้าลูกอม" ดูเหมือนจะซึมซับปรัชญาหลายอย่างจากท่านเซอร์มาซะด้วย

กระนั้นการเล่นเกมบุกแบบไร้ทิศทาง ขาดความน่ายำเกรง ไม่ใช่คำตอบที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องการ โดยหลายๆ เกมนับตั้งแต่เปิดฤดูกาล 2019/20 "เร้ด เดวิลส์" พยายามเล่นเกมบุกให้ดูดุดัน แต่ไร้ประสิทธิภาพในการทำลายล้าง ดูแล้วไม่ได้ทำให้เกมรับคู่แข่งต้องหวาดหวั่นเลย

ในแมตช์เยือน อัล์คมาร์ ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่น่าผิดหวังสิ้นดีสำหรับเกมรุกของ แมนฯ ยูฯ เพราะพวกเขามีสถิติยิงไม่ตรงกรอบเลยในเกมยูฟ่า ยูโรปา ลีก เป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์สโมสร (25 เกม) แถมยังเก็บชัยชนะในการเล่นเกมเยือน 10 แมตช์หลังสุดจากทุกรายการไม่ได้เลย (เสมอ 4 แพ้ 6) ซึ่งสถิติไม่สามารถเก็บชัยชนะในการเล่นเกมเยือนยาวนานที่สุดเกิดขึ้นในช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-กันยายน 1989 (11 เกม)

4. วิลเลี่ยมส์ เด็กคนนี้ของดีไม่ธรรมดา
แบ็กซ้ายวัย 19 ปีจากทีมสำรองถือเป็นผู้เล่นที่มีอนาคตเลยทีเดียว เพราะนักเตะคนนี้มีทั้งความรวดเร็ว, รูปร่างแข็งแกร่ง และจับบอลได้เชื่องเท้า แน่นอนว่าด้วยทักษะแบบนี้ทำให้เขามีโอกาสสูงมากๆ ที่จะได้ลงสนามให้กับทีมของกุนซือโอเล่ กุนนาร์ โซลชา ต่อไปเรื่อยๆ

จะว่าไปแล้ว "ผีแดง" มี ลุค ชอว์ ประจำในตำแหน่งนี้แต่ฟอร์มของนักเตะยังไม่ค่อยน่าอภิรมย์ ที่สำคัญดันมีปัญหาบาดเจ็บบ่อยๆ แต่กระนั้นเจ้าตัวก็ยังได้รับการขยายสัญญาฉบับใหม่เมื่อปีที่ผ่านมา นั่นทำให้เขาได้อยู่เล่นกับต้นสังกัดไปจนถึง ปี 2023 พร้อมออปชั่นอีก 1 ปี

กระนั้นฟอร์มของเจ้าตัวก็ไม่ได้โดดเด่นเป็นสง่าแถมตอนนี้ยังโดน เบน ชิลเวลล์ แบ็กซ้ายเลสเตอร์ แย่งตำแหน่งในทีมชาติอังกฤษ ไปเรียบร้อยแล้ว ที่สำคัญอนาคตของเขาใน "โรงละครแห่งความฝัน" อาจจะสั่นคลอนเมื่อฟอร์มของ วิลเลี่ยมส์ ประทับใจ โซลชา อย่างมาก

เจ้าหนูรายนี้แสดงให้เห็นถึงการกล้าเล่นไม่กลัวคู่แข่ง และยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ที่สำคัญยังได้รับการหนุนหลังจาก อดีตกองหน้าซูเปอร์ซับ ซะด้วย ฉะนั้นไม่แน่ว่าเร็วๆ นี้อาจจะได้เห็นใบหน้าของ วิลเลี่ยมส์ โผล่เล่นกับทีมชุดในเกมลีกก็ได้
 
5. ได้เวลา โกเมส ฉายแสง
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังมองหาตัวตายตัวแทนในระยะยาวของ ฆวน มาต้า และชื่อของ อังเกล โกเมส คือผู้เล่นที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ตั้งเป้าให้ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักในอนาคต

ดาวเตะวัย 19 ปีถือว่าเป็นผู้เล่นที่ตัวเล็กที่สุดในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ พอๆ กับ แบร์นาร์ด ปีกตัวจี๊ดชาวบราซิเลียน "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" เอฟเวอร์ตัน แต่เรื่องคุณภาพการเล่นบอกเลยว่าแฟนบอล "ผีแดง" คงยิ้มแก้มปริเพราะนักเตะคนนี้สมควรอย่างยิ่งที่จะได้ขึ้นมาเล่นชุดใหญ่เต็มตัว

ในแง่ของความกระตือรื้อร้น และทุ่มเทจัดไปเล่นสิบคะแนนเต็ม แถมยังมีทักษะในการสร้างสรรค์เกม โดยเห็นได้ชัดจากการสร้างโอกาสให้กับทีมในช่วงครึ่งแรก

ขณะเดียวกันในบางจังหวะ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องตกเป็นรอง แต่ โกเมส ก็พร้อมที่จะเรียกบอลเพื่อเอามาเล่น และไม่เคยหวาดหวั่นในการเผชิญหน้ากับคู่แข่ง โดยแมตช์นี้เขาได้เล่นเต็มเกม และแน่นอนว่านี่คือประสบการณ์ที่แสนมีค่าในการพัฒนาศักยภาพของเจ้าตัว