แม้ศึก คาราบาว คัพ หรือเรียกในชื่ออย่างเป็นทางการว่า อีเอฟแอล คัพ (เรียกแบบเดิมๆ ว่า ลีก คัพ ก็ได้) เป็นถ้วยที่ทีมใหญ่ไม่ค่อยจะเน้นกัน แต่การดวลกันระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ อาร์เซน่อล ที่สังเวียนแข้ง แอนฟิลด์ ในการแข่งขันรอบสี่ (16 ทีมสุดท้าย) วันพุธที่ 30 ตุลาคมนี้ ถือเป็นเกมที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะมีเรื่องของศักดิ์ศรีความเป็นสโมสรยักษ์ใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้อง และนี่คือ 5 ข้อน่ารู้ก่อนเกม
    - เจอกันจนเบื่อ
    นี่คือการเจอกันหนที่ 15 ระหว่างสองทีมในถ้วย ลีก คัพ ซึ่งถือเป็นคู่ที่ฟาดแข้งกันบ่อยสุดในหน้าประวัติศาสตร์รายการนี้ และจากสถิติที่เจอกันมา 14 ครั้งก่อนหน้านี้ ถือว่าสูสีสุดๆ โดย "หงส์แดง" เป็นฝ่ายคว้าชัย 5 ครั้ง, "ไอ้ปืนใหญ่" ได้เฮ 5 ครั้ง และอีก 4 ครั้งเป็นการเสมอกัน
 

    - ช่วงหลัง "ไอ้ปืนใหญ่" ข่ม
    สถิติที่ผ่านมาสุดสูสี แต่ที่น่าสนใจคือ 2 ครั้งหลังสุดที่เจอกันนั้น อาร์เซน่อล ชนะรวด และหนึ่งในนั้นน่าจะเป็นเกมที่หลายคนคงจะจำได้ดี คือเกมรอบก่อนรองชนะเลิศ เมื่อฤดูกาล 2006/07 ที่ "ไอ้ปืนใหญ่" บุกมาบอมบ์ "หงส์แดง" ถึง แอนฟิลด์ ด้วยสกอร์ 6-3 ซึ่งวันนั้น ชูลิโอ เบาติสต้า กองหน้าร่างใหญ่ชาวบราซิเลียน ทำคนเดียว 4 ตุง!!! และผู้ตัดสินคือ มาร์ติน แอตกินสัน!!!
 

    - "หงส์แดง" แพ้ติดๆ ที่ แอนฟิลด์!!
    ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์รายการนี้มากกว่าใครเพื่อนที่ 8 สมัย แถมช่วงนี้มีฟอร์มการเล่นที่บ้านตัวเองแข็งแกร่งสุดๆ แต่ก็มีอยู่สถิติหนึ่งที่ชวนให้สาวก "เดอะ ค็อป" หวั่นใจไม่น้อย เพราะ 2 เกมหลังสุดที่ "หงส์แดง" เตะรายการนี้ที่ แอนฟิลด์ คือแพ้รวด!! ซึ่งนั่นคือการพ่าย เซาธ์แฮมป์ตัน 0-1 ในรอบรองฯ เลกสอง (สกอร์รวมสองนัดแพ้ 0-2) เมื่อฤดูกาล 2016/17 และล่าสุดฤดูกาลก่อนที่แพ้ เชลซี 1-2 ตกรอบสาม 

    - อาร์เซน่อล ไม่ได้เตะนอกบ้านนานแล้ว
    ถ้าตัดการแข่งขันในรอบตัดเชือกที่เตะแบบสองนัดเหย้า-เยือนทิ้งไป และนับเฉพาะเตะแบบเลกเดียวจบ... เชื่อหรือไม่ว่า นี่คือการออกมาเตะนอกบ้านครั้งแรกของ อาร์เซน่อล ในรายการนี้ นับตั้งแต่เกมที่พวกเขาบุกไปยำ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 4-0 (รอบสาม ฤดูกาล 2016/17) เมื่อวันที่ 20 กันยายน ปี 2016 

    - มาร์ติเนลลี่ เทพบอลถ้วย
    ถึงแม้ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ กองหน้าดาวรุ่งเลือดแซมบ้า ที่เพิ่งย้ายมาอยู่กับ อาร์เซน่อล ในฤดูกาลนี้ ยังไม่ใช่ขุนพลหลักในแดนหน้าของทีม แต่ผลงานของเจ้าตัวในบอลถ้วยซีซั่นนี้ ถือว่าไม่ธรรมดาเลย เพราะกดไปแล้วถึง 5 ประตู จากการลงเตะ 3 นัด โดยแบ่งเป็น 2 ตุง จาก 1 เกมในรายการนี้ และ 3 ลูก จาก 2 เกมในถ้วย ยูโรปา ลีก ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่า หัวหอกหน้าหล่อวัย 18 ปี น่าจะได้รับโอกาสลงเล่นเป็นตัวจริงอีกครั้งในเกมวันพุธนี้ บอกเลยว่า แนวรับ "หงส์แดง" ไม่สามารถประมาทหนุ่มคนนี้ได้เลย