ขาด ฟาบินโญ่ ทำไง? เจาะ 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล รับมือ ไบรท์ตันฯ (พร้อมสถิติ)
Posted 30/11/2019 by siamsport
ตอนนี้เข้าสู่สัปดาห์แรกโปรแกรมหฤโหดสำหรับ ลิเวอร์พูล ในการรับมือ ไบรท์ แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ที่แอนฟิลด์ เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายนนี้ พร้อมกับปัญหาใหญ่เมื่อ ฟาบินโญ่ มีปัญหาบาดเจ็บต้องพักยาวไปจนถึงต้นปีหน้า
ถึงแมตช์เกมนี้ ฟาบินโญ่ หมดสิทธิ์ลงเล่นไม่ว่าจะเจ็บหรือไม่เจ็บก็ตาม เนื่องจากติดโทษแบนจากการสะสมใบเหลืองครบ 5 ใบ นั่นทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องขบคิดอย่างหนักในการจะหาคนมาทำหน้าที่ควบคุมเกมในแผงกองกลางสำหรับแมตช์รับมือทัพ "นกนางนวล"
ต้องยอมรับว่าช่วงนี้ฟอร์มการเล่นของ "หงส์แดง" ค่อนข้างดร็อปไปเยอะ อาจจะมาจากอาการล้าของนักเตะก็ได้ และต้องอาศัยพลังแฝงในการเอาชนะหรือบางเกมก็เสมอ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อทีม นี่คืออีกหนึ่งปัญหาที่ นายใหญ่ชาวเยอรมัน ต้องพยายามหาทางแก้ไขเป็นการด่วน
1. ขาด ฟาบินโญ่ ขาดใจไหม ?
ในแมตช์รับมือ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน วันเสาร์นี้ ยังไงซะ ฟาบินโญ่ ก็ไม่ได้ลงสนามอยู่ดีต่อให้เจ็บหรือไม่เจ็บ เพราะนักเตะติดโทษแบน 1 เกมจากการสะสมใบเหลืองครบ 5 ใบจากแมตช์ที่เฉือน "ดิ อีเกิ้ลส์" คริสตัล พาเลซ เมื่อสุดสัปดาห์ก่อน
หากมองในกรณีที่ ดาวเตะบราซิเลียน ดวงแตกได้รับบาดเจ็บเอ็นข้อเท้าฉีกในเกมเสมอ นาโปลี 1-1 ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อกลางสัปดาห์นี้ แน่นอนว่าสาวก "เดอะ ค็อป" ต้องใจหายใจคว่ำ เพราะ ฟาบินโญ่ เป็นผู้เล่นตัวหลักในแผงกองกลางที่คอยคุมเกมให้กับ "หงส์แดง"
จากอาการครั้งนี้ส่งผลให้ ฟาบินโญ่ จะหมดสิทธิ์ลงช่วย "เดอะ เร้ดส์" ราว 10 นัด ซึ่งกว่าที่แฟนบอลลิเวอร์พูล จะได้เห็น มิดฟิลด์เมียสวย ต้องรอไปถึงช่วงต้นปีหน้าเลยทีเดียว งานนี้ทำให้ คล็อปป์ ต้องคิดหนักในการหาตัวตายตัวแทนชดเชยการขาดหายไปของ กองกลางเจ้าของฉายา "ฟลาโก้"
เริ่มที่เกมเปิดรังแอนฟิลด์ รับมือ ไบรท์ตัน แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะให้ นาบี เกอิต้า ที่ป่วยช่วงกลางสัปดาห์ แต่ตอนนี้ร่างกายแข็งแรงพร้อมทำหน้าที่คุมแผงกลาง แต่กระนั้น คล็อปป์ อาจจะจับ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม ซึ่งเคยเล่นตำแหน่งโฮลดิ้งมิดฟิลด์มาก่อน ทำหน้าที่สำคัญนี้ก็ได้
หาก นายใหญ่ชาวเยอรมัน ต้องการนักเตะประสบการณ์สูงก็อาจตัดสินใจจับ เจมส์ มิลเนอร์ แข้งสารพัดประโยชน์แทน ฟาบินโญ่ ก็ได้ ส่วนคนที่จะมายืนเคียงข้างในแผงกลางก็คงเป็นเจ้าประจำอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ อดัม ลัลลาน่า หรือจะเป็น เซอร์ดาน ชากีรี่ ที่หายเจ็บก็มีลุ้นได้ลงตัวจริง เช่นเดียวกับ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน
ฉะนั้นการขาด ฟาบินโญ่ อาจจะส่งผลกระทบอยู่บ้าง แต่ด้วยขุมกำลังที่มีอยู่แน่นอนว่า คล็อปป์ มีตัวตายตัวแทนพร้อมสำหรับสถานการณ์แบบนี้อยู่แล้ว
2. ลุ้นคลีนชีต
สำหรับฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล ยากจะหาคำว่าคลีนชีตได้เลย โดย ณ ตอนนี้ (ก่อนเกมกับ ไบรท์ตัน) พวกเขาเสียประตูไปแล้ว 11 แมตช์ติดต่อกัน พร้อมกับเสียไป17 ประตู ต้องบอกว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่คุ้นชินสำหรับสาวก "เดอะ ค็อป" จริงๆ
ย้อนไปซีซั่นที่แล้ว อลีสซง เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูชาวบราซิเลียน ได้รับรางวัลนายทวารยอดเยี่ยม หรือ "ถุงมือทองคำ" (โกลเด้น โกลบ หลังทำผลงานสุดยอดไม่เสียประตู 21 เกมลีก สวนทางกับผลงานในฤดูกาลนี้นับตั้งแต่ที่ นายด่านแซมบ้า หายเจ็บกลับมา ยังไม่สามารถเก็บคลีนชีตได้เลย
แฟน "หงส์แดง" ได้เห็นทีมรักไม่เสียประตูต้องย้อนไปเกมเฉือน เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 1-0 เมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา แต่กระนั้นสถิตินี้ก็ยังไม่ย่ำแย่ที่สุด เพราะทีมเคยเสียประตูติดต่อกัน 12 แมตช์มาแล้วภายใต้การบริหารงานของ รอย อีแวนส์ เมื่อปี 1998
ฉะนั้นนี่คือหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ คล็อปป์ ต้องขบคิดอย่างรอบคอบ เพราะการที่ทีมเสียประตูแทบทุกแมตช์ แสดงให้เห็นถึงเกมรับที่มีปัญหา แม้ทีมจะมี เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ แต่การขาดคู่หูเซนเตอร์ฮาล์ฟอย่าง โฌแอล มาติป ทำให้ทีมเล่นผิดพลาดหลายครั้ง แม้ เดยัน ลอฟเรน จะทำหน้าที่ได้ดี แต่ก็ยังเป็นบ่อให้คู่แข่งได้เข้ามาเจาะทำประตูบ่อยๆ
3. โม ซาลาห์ ยังสำคัญ
ผลงาน 3 ประตูกับ 2 แอสซิสต์จาก 4 เกม แสดงให้เห็นว่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยังคงมีความสำคัญสำหรับ "หงส์แดง" เสมอ แม้ว่าฟอร์มการเล่นของเจ้าตัวอาจจะไม่ได้เลิศเลอเหมือนกับฤดูกาลที่แล้ว นับตั้งแต่ที่ได้รับบาดเจ็บในเกมชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
สำหรับตอนนี้ ซาลาห์ กำลังเจอกับบททดสอบสำคัญโดยตอนนี้ "คิง ออฟ อียิปต์" ซัดในเกมลีกไปแค่ 6 ประตู และ 9 ประตูจากการเล่น 18 แมตช์ในทุกรายการ ฉะนั้นนี่คือช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับ สตาร์ลูกหนังแดนฟาโรห์ ในการดึงฟอร์มเก่งออกมา
อย่างไรก็ตามแม้ว่า ซาลาห์ ซึ่งซัดไป 22 ประตูใน พรีเมียร์ลีก ทำให้ได้ดาวซัลโวร่วมกับ ซาดิโอ มาเน่ เพื่อนร่วมทีม และ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง กองหน้า อาร์เซน่อล เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญที่ คล็อปป์ ขาดไม่ได้จริงๆ แต่ "บังโม" ต้องทำใจเพราะงานนี้คงเจอกองหลังไบรท์ตัน ประกบติดแบบหายใจรดต้นคอแหงๆ
ในเวลานี้ ซาลาห์ คงต้องควานหาฟอร์มเก่งเหมือนกับ 2 ฤดูกาลก่อนที่เล่นให้ "เดอะ เร้ดส์" แต่การที่ฟอร์มของ "บังโม" เป็นแบบนี้หนึ่งในนั้นก็มาจากปัญหาบาดเจ็บ กระนั้นสิ่งนี้ก็ไม่ได้ลดทอนความเก่งของเขาเพราะเมื่อเช็คสถิติในเกมลีกจะเห็นได้ว่าเขามีสถิติในการพยายามยิงประตูสูงถึง 3.6 ครั้งต่อเกม และหากมีชื่อทำสกอร์ในเกมกับ ไบรท์ตัน ย่อมทำให้ ซาลาห์ กลับมามั่นใจยิ่งขึ้น
4. ได้เวลาวิซาร์ด ออฟ อ็อกซ์(เลด)
ตอนนี้ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน กำลังกลับมาสู่ฟอร์มเก่งอีกครั้ง โดยในแมตช์ล่าสุดที่เสมอกับ นาโปลี เมื่อ คล็อปป์ ตัดสินใจส่งนักเตะลงมาเล่นในช่วงต้นครึ่งหลัง ฟอร์มของ "เดอะ เร้ดส์" กลับมาโดดเด่นและไล่กดดัน "อัซซูร่า" อยู่หมัด
ที่สำคัญการที่ ฟาบินโญ่ ไม่สามารถลงเล่นในแมตช์กับ ไบรท์ตัน มีความเป็นไปได้สูงที่ คล็อปป์ จะเลือกจับ เกอิต้า หรือ ไวจ์นัลดุม ลงมายืนเป็นโฮลดิ้งมิดฟิลด์ นั่นหมายความว่า คล็อปป์ อาจจะเลือกส่ง แชมเบอร์เลน ยืนคู่กับ กัปตัน "เฮนโด้" เพื่อประสานงานกับ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ "บังโม"
สำหรับในเวลานี้ต้องยอมรับว่า แชมเบอร์เลน เล่นด้วยความมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญศักยภาพของเขามีประโยชน์อย่างมาก เพราะสไตล์การเล่นที่ดุดันพร้อมวิ่งทะลุทะลวงเกมรับคู่แข่งเข้าไปในเขตโทษ หรือการหาจังหวะในการยิงไกล รวมไปถึงทักษะในการผ่านบอลที่แม่นยำ สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยสำคัญที่ คล็อปป์ ต้องการอย่างมากจาก ดาวเตะเลือดผู้ดีรายนี้
5. ลุ้นประตู ฟีร์มีโน่ ที่แอนฟิลด์
โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ เป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญอีกรายที่โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นให้ ลิเวอร์พูล โดยเฉพาะการเชื่อมเกมระหว่างกองกลางกับแนวรุก และการประสานงานกับ ซาลาห์ และ มาเน่ รวมไปถึงการคอยแอสซิสต์ให้กับเพื่อนร่วมทีมทำประตู ซึ่งเห็นได้บ่อยๆ ในฤดูกาลนี้
การที่เห็น "บ็อบบี้" คอยเชื่อมเกมบ่อยๆ ทำให้ลืมไปเลยว่าเขามีทีเด็ดในการยิงประตูเช่นกัน แต่กระนั้นแทบไม่อยากเชื่อว่า สตาร์ลูกหนังทีมชาติบราซิล ยังไม่เคยมีชื่อบนสกอร์บอร์ดในฐานะผู้ทำประตูแมตช์ที่ลงเล่นในถิ่นแอนฟิลด์ ฤดูกาลนี้เลย นี่เป็นสถิติที่น่าเป็นห่วงมากๆ
อย่างที่บอก ดาวเตะวัย 28 ปีมีส่วนกับเกมและประตูของทีมเยอะมาก แต่เขายังขาดความเฉียบคมในพื้นที่สุดท้าย ซึ่งสิ่งนี้เป็นเรื่องน่ากังวล เพราะในฐานะกองหน้าการยิงประตูได้น้อย ย่อมส่งผลต่อสภาพจิตใจ และความเชื่อมั่นในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
โดยรวมแล้ว ฟีร์มีโน่ ซัดไปแล้ว 4 ประตูในเกมลีกฤดูกาลนี้ซึ่งถือว่ายังไม่ร้อนแรงในฐานะกองหน้า ดังนั้นสาวก "เดอะ ค็อป" คงแฮปปี้ยิ่งกว่านี้หากได้เห็น "บ็อบบี้" ส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย "นกนางนวล" ในเกมพรีเมียร์ลีก วันเสาร์นี้
โอเคการทำประตูได้ถือเป็นโบนัสสำหรับ ฟีร์มีโน่ แต่หากพิจารณาการเล่นที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ระดับเวิลด์คลาส, ความฉลาด และการเล่นที่ไม่เห็นแก่ตัว แน่นอนว่านี่คือนักเตะสำคัญอีกคนที่ ลิเวอร์พูล ขาดไม่ได้เช่นกัน
สถิติ
เฮด-ทู-เฮด
- ลิเวอร์พูล ชนะ 7 เกมหลังสุดที่พบกันในทุกรายการ พร้อมยิงไป 2 ประตู และเสียแค่ 5 ลูกเท่านั้น
- ไบรท์ตัน ชนะ ลิเวอร์พูล ครั้งล่าสุดในเกมเอฟเอ คัพ รอบ 4 ที่บ้านของพวกเขาเมื่อปี 1984
- "นกนางนวล" ชนะแค่ 2 ครั้งที่แอนฟิลด์ ในเกมลีกสูงสุดเมื่อปี 1982 และ เอฟเอ คัพ รอบ 5 ปี 1983
- ประตูแรกจากการพบกันในเกมลีก 3 แมตช์หลังสุดเป็นผลงานของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ โดย "เดอะ เร้ดส์" ชนะ 1-0 ทั้งเกมในบ้าน และเกมเยือนเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา
ลิเวอร์พูล
- ถ้า ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ในแมตช์นี้พวกเขาจะทำสถิติไม่แพ้ใครในเกมลีกสูงสุดยาวนานที่สุด 31 แมตช์ติดต่อกัน เทียบเท่ากับสถิติเดิมที่ "หงส์แดง" เคยทำได้ในช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม 1987-มีนาคม 1988
- พวกเขาเป็นทีมที่สี่ในหน้าประวัติศาสตร์ลีกสูงสุดประเทศอังกฤษที่เก็บแต้มได้มากถึง 37 คะแนนจาก 13 เกมแรกในฤดูกาลนี้ (หากชนะสถิติคะแนนจะเปลี่ยนไปอีก)
- "เดอะ เร้ดส์" ชนะ 12 เกมในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ เทียบเท่าชัยชนะของ อาร์เซน่อล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ รวมกัน
- ลิเวอร์พูล เป็นสโมสรที่สร้างสถิติชนะรวด 13 เกมติดต่อกันในบ้านนับตั้งแต่เสมอ เลสเตอร์ ซิตี้ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
- เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่แพ้ในเกมพรีเมียร์ลีก 26 แมตช์หลังสุดในการพบกับสโมสรที่มีผู้จัดการทีมเป็นชาวอังกฤษ (ชนะ 22, เสมอ 4 เกม) แถมยังชนะ 16 เกมติดต่อกันด้วย
- ลิเวอร์พูล ลงเล่น 12 เกมจากทุกรายการโดยที่เก็บคลีนชีตไม่ได้เลยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 1998 ยุค รอย อีแวนส์
ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน
- ไบรท์ตันไม่ชนะในการเล่นเกมลีกนัดเยือน 5 แมตช์ในฤดูกาลนี้นับตั้งแต่ที่ชนะ วัตฟอร์ด ในเกมเปิดซีซั่น (เสมอ 1,แพ้ 4 เกม)
- "นกนางนวล" ควานหาคำว่าชนะไม่ได้เลยในเกมลีกนัดเยือน 15 แมตช์เมื่อต้องปะทะกับคู่แข่งระดับท็อปซิกซ์ แถมยิงได้แค่ 4 ประตูเท่านั้น และเสียบานเบอะ 33 ประตู
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
มาเน่เชื่อแชมป์สโมสรโลกเพิ่มความมั่นใจ
ซาดิโอ มาเน่ กองหน้าของ ลิเวอร์พูล มั่นใจว่าการโทรฟี่สโมสรโลกมาครองจะช่วยให้ทีมทวีความมั่นใจในการก้าวไปคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครอง'เจิด'ชี้ฟานไดค์คู่ควรบัลลงดอร์กว่าเมสซี่
สตีเว่น เจอร์ราร์ด ตำนานนักเตะของ ลิเวอร์พูล ชี้ว่า เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ กองหลังรุ่นน้องคู่ควรกับการได้รางวัลบัลลง ดอร์ประจำปีนี้ลิเวอร์พูล 1-1 นาโปลี
"หงส์แดง" ทำได้แค่เสมอกับ นาโปลี ในแอนฟิลด์ 1-1 หลังโดนขึ้นนำไปก่อนช่วง 45 นาทีแรก ก่อนที่เดยัน ลอฟเรน จะมาโขกตีเสมอแบ่งแต้มกันไป ทำให้ล้างตาถอนแค้นจากพ่ายนัดแรกไม่สำเร็จ ทั้งหนึ่งคะแนนทำให้ ลิเวอร์พูล มีเพิ่มเป็น 10 คะแนนยังนำเป็นจ่าฝูง แต่ต้องลุ้นเข้ารอบในเกมบุกไปเยือนซัลซ์บวร์กนัดสุดท้าย ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา
TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน
อัลบั้มภาพเด็ดๆ
มาย ฮาเร็ม ส่งภาพเขย่าโซเชียล นุ...
เจนนี่ ธมนภัค พริตตี้สุดฮอต นุ่ง...
ฮาน่า ฮาอึน ชอง ดาว TikTok สาวสว...
นาฟ ฉัฐนันท์ ปล่อยแซ่บท้าลมหนาว ...
เต็มที่แล้ว! ไทย พ่าย อุซเบกิสถา...
ตัดเกรด นักเตะไทย เกมเสมอ โอมาน ...
คลิปไฮไลท์