ถ้าการไปเล่นกับ วิสเซล โกเบ เมื่อปี 2018 กว่าที่เขาจะได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมทีม นำมาซึ่งอาการโฮมซิก เพราะคิดถึงลูกชายที่กำลังเติบโต แถมยังต้องห่างไกลหลายพันกิโลเมตรจากบ้านที่ จ.ฉะเชิงเทรา การมาอยู่กับ โยโกฮามา เอฟ มารินอส ในปีนี้ คงจะไม่ต่างกันมากมายนัก...

อังเก้ ปอสเตโคกลู จัดเป็นเทรนเนอร์ที่มีความดุดันในแท็กติกการเล่น และค่อนข้างจะเขี้ยวในเรื่องของการยืนตำแหน่งผู้เล่น

หลังพา ออสเตรเลีย ทะลุเข้าไปเล่นในรอบสุดท้าย ฟุตบอลโลก 2018 ได้สำเร็จ เขากลับลาออก ซึ่งว่ากันว่าการเปิดหมวกครานั้น เพราะปรัชญาในการทำทีมระหว่างเขากับ ส.บอล จิงโจ้ สวนทางกันแบบสิ้นเชิง โดยเฉพาะการเลือกตัวผู้เล่นที่ไม่ได้สิทธิ์มากมายนัก

นั่นทำให้โค้ชยอดฝีมือหันหลังให้กับชาติบ้านเกิด ก่อนมุ่งมายัง เจ ลีก 2018 เลกสอง กับ โยโกฮามา เอฟ มารินอส ก่อนที่เขาค่อยๆ สร้างทีมด้วยแท็กติกตัวเอง กระทั่งทีมจบกลางตารางในปีที่ผ่านมา

กระทั่งก่อนที่ซีซั่น 2019 จะเปิด ก็ใช้สายตาอันแหลมคมจัดการลิสต์แข้งที่จะเสริม หนึ่งในนั่นคือ ธีราทร บุญมาทัน เพราะว่าการเสมอ 2-2 ของทีมชาติไทย เปิดบ้านซัดกับ ออสเตรเลีย ทำให้ “อังเก้” ได้เห็นฝีเท้า “บุญจัง”เต็มๆ 90 นาที

เมื่อ อุราวะ เรด ไดม่อนส์ จัดการรวบ เรียวสุเกะ ยามานากะ แบ็กซ้ายตัวหลักทีมชาติญี่ปุ่นไปจาก นิสสัน สเตเดี้ยม ทำให้ “โก๋อุ้ม” มาพร้อมกับความคาดหวัง นั่นคือภาระที่หนักอึ้งซึ่งอยู่บนบ่าของดาวเตะทีมชาติไทย

ยิ่งสไตล์ของ "อังเก้" ซึ่งเป็นโค้ชที่ดุดัน วางตัวแบบเยือกเย็น จนเป็นที่ยำเกรงของนักเตะในทีมรวมถึง ธีราทร เขาย้ำให้ทุกคนเล่นเพื่อทีม ไม่มี “ลูกรัก” เพราะมองว่าโอกาสเป็นของนักเตะทุกคน

ช่วงแรกที่ไปเก็บตัวก่อนเปิดซีซั่น ดาวเตะ “ช้างศึก” เร่งตัวเองอยากเป็น 11 คนแรกโดยไว ทำให้อาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อฉีกเล่นงาน พักไปเป็นเดือนกว่าจะฟิตกลับมาได้ เมื่อคัมแบ็กสู่ทีมโอกาสก็มีแค่ลงเล่นในฟุตบอลถ้วยอย่าง ลูวาน คัพ เพราะ “อังเก้” ยังไม่ไว้ใจใน 11 ลิสต์ลุย เจ ลีก

สุดท้ายความท้อมาเยือน “โก๋อุ้ม” จนได้ ถึงขนาดบ่นอยากกลับเลยทีเดียว เพราะว่าโดนกระแสจากแฟนบอลที่ออกมาโพสต์ในทวิตเตอร์ หรือคอมเมนต์ในข้อความ ทำให้เขาเคยเกือบที่จะหมดกำลังใจไปแล้วครานั้น ทว่า “อังเก้” นี่แหละที่ให้โอกาสกับนักเตะทุกคน รวมทั้ง “บุญจัง” เองที่ค่อยๆ ซึมซับแนวทางและปรัชญาการเล่นของกุนซือจิงโจ้ กระทั่งยึด 11 คนแรกได้ แต่ก็ยังไม่อย่างถาวร

จนเมื่อใกล้จบเลกแรก เขากลับมารับใช้ทีมชาติไทย ในคิงส์ คัพ ครั้งที่ 47 คราวนี้กลับไปแบบไม่มีครอบครัวไปอยู่ด้วย แต่กลายเป็นว่า 2 เดือนกว่าที่อยู่กับล่าม เขาออกสตาร์ทเป็น 11 ตัวจริงทุกเกม !!

จนเวลา “อุ้ม”ให้สัมภาษณ์ จะบอกคำนี้เสมอๆว่า “เรามีวิธีการเล่นแบบมารินอส”

นี่คือสิ่งที่ทำให้เห็นว่า “อังเก้” ได้ฝังชิพแห่งความเข้าใจในแท็กติกไปอยู่ในหัวของนักเตะหมดแล้ว เรียกได้ว่าส่งใครลงไปต้องเล่นได้เลย เราจึงเห็นการประสานงานทางกราบซ้ายระหว่างเขากับ เคอิตะ เอ็นโดะ รวมทั้งคนมาใหม่ในเบกสองอย่าง มาเธอุส หรือ เอริค ลิมา ที่ทำได้อย่างเนียนตา

ถึงวันนี้ผลงานใน เจ ลีก เขาถือว่าเป็นที่สำคัญของทีมไปแล้ว หลังกดไป 2 ประตู กับ 2 แอสซิสต์ เคยอยู่ใน 11 นักเตะยอดเยี่ยมจากการประกาศของผู้สนับสนุนหลังศึก เจ ลีก อย่าง DAZN มาแล้ว ในนัดที่ 20 พร้อม ชนาธิป สรงกระสินธ์ ก่อนจะมาติดอีกครั้งในเกมที่ 25 ไม่เพียงเท่านั้นเว็บไซต์ soccerdigestweb ยังให้เขาเป็น 11 แข้งประจำสัปดาห์ในนัดที่ 20, 25 และ 26

นอกจากนี้ยังได้รับรางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ของสโมสรช่วงที่ลงเล่นในบ้านถึง 2 เกม เริ่มจากนัดช่วยทีมเอาชนะ อุราวะ เร้ด ไดมอนส์  เมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ก่อนได้อีกครั้งได้ช่วงของการทำประตูแรกนับตั้งแต่การไปเล่นในเจ ลีก เมื่อปี 2018 จนมาถึงปี 2019 เมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา

จนก้าวสุดท้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น วันที่ 7 ธ.ค.นี้ ซึ่ง โยโกฮามา เอฟ มารินอส เปิดบ้านเจอกับ เอฟซี โตเกียว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ชื่อของ ธีราทร จะกลายเป็นคนประวัติศาสตร์ของสโมสรในรอบ 47 ปี และคนแรกในรอบ 27 ปีของ เจ ลีก นับตั้งแต่การก่อตั้ง ที่เป็นคนอาเซียนและคนไทยในการเถลิงบัลลังก์ ด้วยการนำทีมเป็นแชมป์สมัยที่ 4 อีกด้วย

ที่ผ่านมาความกดดันทั้งหมดที่เคยทำให้เขาเกือบกลับไทย ได้ผ่านการหล่อหลอมให้เจ้าตัวมีแรงผลักดันจนกำลังจะถูกจารึกว่าเป็นคนไทยรายที่สองที่ออกไปคว้าแชมป์ลีกในทวีปเอเชีย ที่ไม่ใช่แค่อาเซียน ต่อจากอดีตกองหน้าทีมชาติไทยอย่าง ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ในรอบ 34 ปี

หลัง "เดอะตุ๊ก" เคยย้ายไปค้าแข้งกับ ลัคกี้ โกลด์สตาร์ (เอฟซี โซลในปัจจุบัน) ระหว่าง ฤดูกาล 1984-1986 ก่อนทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะปี 1985 นอกจากนำทีมคว้าแชมป์ลีก เจ้าตัวยังติดทีมยอดเยี่ยมของซีซั่น รวมถึงคว้าทั้งดาวซัลโวมาครอง ด้วยผลงาน 12 ประตู 6 แอสซิสต์จาก 21 นัด เลยทีเดียว