ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » พรีเมียร์ลีก อังกฤษ » แรชฟอร์ดกำลังฮอต ! เปิด 5 ประเด็นดาร์บี้แมตช์เมืองแมนเชสเตอร์

แรชฟอร์ดกำลังฮอต ! เปิด 5 ประเด็นดาร์บี้แมตช์เมืองแมนเชสเตอร์

Posted 07/12/2019 by siamsport

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องเจอโปรแกรมโหดต่อเนื่องเมื่อมีคิวออกไปทำศึกดาร์บี้แมตช์เมืองแมนเชสเตอร์ ปะทะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สนามเอติฮัด สเตเดี้ยม วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคมนี้ งานนี้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา แอนด์โค. คาดหวังที่จะระเบิดฟอร์มสุดยอดเหมือนที่พวกเขาแสดงให้เห็นในเกมเฉือน สเปอร์ส เมื่อช่วงกลางสัปดาห์นี้

    เกมที่เอติฮัด สเตเดี้ยม จะเป็นดาร์บี้แมตช์ครั้งที่ 179 ของสองสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองแมนเชสเตอร์ แต่เป็นเกมดาร์บี้แมตช์ที่ 149 ในการพบกันเองในลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ซึ่งชัยชนะในแมตช์นี้จะส่งผลต่ออันดับของ "ปีศาจแดง" และ "เรือใบสีฟ้า" อย่างมาก

    หาก แมนฯ ยูไนต็ด ได้ 3 คะแนนจะทำให้พวกเขาจะขยับเข้าใกล้กับอันดับท็อปโฟร์มากยิ่งขึ้น (ปัจจุบันอยู่ที่ 4 มี 21 คะแนน) แต่ถ้า "เรือใบสีฟ้า" ได้ชัย พวกเขาจะทำแต้มกดดัน ลิเวอร์พูล ต่อไป แม้จะยังห่างไกลก็ตาม แต่ก็ถือเป็นโอกาสดีเพื่อไล่บี้ "หงส์แดง" และรอลุ้นให้คู่แข่งสะดุดขาตัวเองเนื่องจากพวกเขามีโปรแกรมหฤโหดในช่วงเดือนธ.ค.นี้

 


1. ขาด "กุน" แมนฯ ซิตี้ ขาดใจไหม ?
    สำหรับหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จำเป็นต้องรีบหาทางแก้ปัญหาให้เร็วที่สุดนั่นก็คือการที่ "เรือใบสีฟ้า" ขาด เซร์คิโอ อเกวโร่ กองหน้ามากประสบการณ์ชาวอาร์เจนไตน์ ในแมตช์สุดสำคัญรับมือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม

    สาวก "เรือใบสีฟ้า" อาจจะมองว่าขุมกำลังของทีมในเวลานี้สามารถทดแทนการที่ไม่มี "กุน" ได้ ดูอย่างในแมตช์ล่าสุดที่ไล่ถลุง เบิร์นลี่ย์ 4-1 พวกเขาใช้งาน กาเบรียล เชซุส ลงทำหน้าที่เป็นหน้าเป้า และก็ไม่ผิดหวังเมื่อจัดการเหมา 2 ประตูช่วยทีมเก็บ 3 แต้มสบายอุรา

 

    อย่างไรก็ตามในเกมดาร์บี้แมตช์เมืองแมนเชสเตอร์ ไม่ใช่เกมปกติทั่วไป แน่นอนว่า เป๊ป ย่อมรู้ถึงจุดนี้ และก็เข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า เชซุส ไม่ได้มีศักยภาพโหดจัดปลัดบอกเฉกเช่น อเกวโร่ ดังนั้นการที่จะโยนภาระให้กับ หัวหอกชาวบราซิเลียน ถือว่าหนักเกินไป

    แม้ในปัจจุบัน อเกวโร่ อาจจะไม่ใช้นักเตะที่เก่งฉกาจฉกรรจ์อย่างเช่นเมื่อ 5 ปีก่อนก็ตาม  แต่สถิติของเขาในการลงสนามให้กับต้นสังกัดยามดวลกับ แชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี 20 สมัย ต้องบอกเลยว่ายอดเยี่ยมกระเทียมดอง เพราะส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย 8 ประตูจาก 10 เกมที่เจอกับ "ปีศาจแดง"
 

 

2. แท็คติก "น้าลูกอม" เยือน "เรือใบสีฟ้า"
    โอเล่ กุนนาร์ โซลชา สร้างผลงานที่โดดเด่นที่สุดในฤดูกาลนี้ก็คือการแบ่งแต้มมาจาก "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ในศึก "แดงเดือด" ที่เปิดรังโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เสมอกัน 1-1 โดย แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นสโมสรเดียวเท่านั้นที่หยุดความร้อนแรงทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่ให้เก็บชัยชนะ 15 เกมรวด (ชนะ 14 เสมอ 1 เกม)

    เหตุผลสำคัญที่ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด แบ่งแต้มมาจาก "หงส์แดง" ซึ่งฟอร์มร้อนแรงสุดๆ ก็คือการวางแท็คติกที่ยอดเยี่ยม โดยในเกมนั้น กนุซือชาวนอร์เวย์ ตัดสินใจเล่นกองหลัง 5 ตัวโดยแบ่งเป็นเซนเตอร์แบ็ก 3 คน และฟูลแบ็ก 2 ข้างทำหน้าที่เป็นวิงแบ็ก

 

    ขณะที่แนวรุกที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความเร็วราวจรวดถือเป็นทีเด็ดของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในยุคปัจจุบัน โดยพวกเขาใช้ มาร์คัส แรชฟอร์ด กับ แดเนี่ยล เจมส์ จัดการปั่นป่วนแนวรับ "เดอะ เร้ดส์" จนอยู่หมัด แล้วงานนี้การที่ต้องปะทะกับทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ละ โซลชา จะเลือกใช้แท็คติกเดียวกับเกมพบ ลิเวอร์พูล หรือจะยึดมั่นในการเล่นกองหลัง 4 ตัว ?

    แน่นอนว่าเกมนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องการชัยชนะอย่างมาก เพื่อหวังกดดัน ลิเวอร์พูล ในการไล่ล่าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ขณะที่ แมนฯ ยูฯ อาจจะเดินทางมายังถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม  ด้วยการเล่นแบบเน้นการตั้งรับ และรอจังหวะสวนกลับเร็ว กระนั้นสิ่งหนึ่งที่ "น้าลูกอม" ต้องคิดให้ดีๆ ก็คือการหยุด ราฮีม สเตอร์ลิง และ เควิน เดอ บรอยน์ เพราะหากอยากได้แต้มกลับบ้าน ต้องตัดสองคนนี้ออกไปให้ได้
 

 

3. แมนฯ ยูไนเต็ด มักเล่นดีเมื่อเจอทีมเก่ง
    แมนฯ ยูไนเต็ด ภายใต้การกุมบังเหียนของ โซลชา เน้นการใช้ผู้เล่นดาวรุ่ง และแข้งวัยละอ่อน ผสมผสานกับนักเตะมากประสบการณ์ ทำให้ทีมในช่วงเวลานี้มีฟอร์มการเล่นที่ไม่คงเส้นคงวา แต่กระนั้นพวกเขามักจะทำผลงานได้ดีเยี่ยมเมื่อเจอกับทีมใหญ่

    นับตั้งแต่ผลการแข่งขันที่ไล่ทุบ เชลซี (4-0), เสมอ ลิเวอร์พูล (1-1), เฉือนหวิว เลสเตอร์ ซิตี้ (1-0) และหักปากกาเซียนชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ (2-1) แสดงให้เห็นว่า "ปีศาจแดง" โชว์ฟอร์มได้น่าประทับใจมากๆ ในยากที่พวกเขาต้องดวลกับคู่แข่งที่แข็งแกร่ง

 

    ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ ในยุคของ กวาร์ดิโอล่า ต้องบอกเลยว่าเขาสร้างทีมได้แข็งแกร่งสุดๆ และสามารถนำ "เรือใบสีฟ้า" คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัยติดต่อกัน แม้ว่าการลุ้นคว้าแชมป์สมัยที่ 3 ติดต่อกัน อาจจะค่อนข้างยากแต่กระนั้นทุกอย่างยังมีโอกาสเป็นไปได้เสมอ ลองย้อนไปเมื่อซีซั่นที่แล้ว พวกเขาแพ้ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ในช่วงเดือนมกราคม จากนั้นก็เก็บชัยชนะรวด 14 เกมแซงหน้า ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์อย่างยิ่งใหญ่

    ฉะนั้นหาก แมนฯ ซิตี้ ต้องการเบียดกับ "หงส์แดง" ในการแย่งความสำเร็จในฤดูกาลนี้ พวกเขาต้องระเบิดฟอร์ในเกมรับมือ แมนฯ ยูไนเต็ด ให้ได้ เช่นเดียวกับ "เร้ด เดวิลส์" หากอยากลุ้นโควตายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แมตช์นี้ต้องมีองค์ลงเหมือนกับเกมใหญ่แมตช์อื่นๆ ที่พวกเขามักโชว์ฟอร์มได้ดี
   

 

 4. แรชฟอร์ด กำลังโหด, แนวรับ ซิตี้ อ่อนยวบ
    นับตั้งแต่ที่ เอมเมอริค ลาป๊อร์กต์ ได้รับบาดเจ็บหนัก นี่คือปัญหาใหญ่มากๆ สำหรับเกมรับของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาลนี้ พวกเขาไม่สามารถหาคนที่จะมาทดแทนการอำลาทีมของ แว็งซองต์ ก็องปานี เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาได้เลย ขณะที่ จอห์น สโตนส์ กับ แฟร์นันดินโญ่ ซึ่งต้องสวมบทเซนเตอร์แบ็กจำเป็น ก็แบกรับภาระไม่ไหว

    ลองคิดดูก็แล้วกัน 15 เกมที่ผ่านมา "เรือใบสีฟ้า" เสียไปแล้ว 17 ประตู ซึ่งถือว่าเยอะมากเมื่อเทียบกับมาตรฐานของพวกเขา

 

    ขณะเดียวกัน มาร์คัส แรชฟอร์ด ในเวลานี้กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มเข้าฟักสุดๆ โดย 7 เกมลีกหลังสุด หัวหอกทีมชาติอังกฤษ มีส่วนเกี่ยวข้องกับ 9 ประตูของทีม (7 ประตู และ 2 แอสซิสต์) รวมไปถึง 2 ประตูที่เพิ่งจัดการดับซ่า ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เมื่อวันพุธที่ผ่านมาด้วย

    สถิติของ แรชฟอร์ด บอกเลยว่าไม่ธรรมดา 7 เกมพรีเมียร์ลีกหลังสุดเจ้าตัวซัดไป 6 ประตู โดยเฉพาะกับการลงสนามเจอทีมใหญ่เจ้าตัวมักจะฟอร์มฮอตเหลือเกิน สาวก "เร้ด อาร์มี่" คงเห็นไปแล้วในเกมล่าสุดที่รับมือ "ไก่เดือยทอง" งานนี้ ไคล์ วอล์คเกอร์ จะต้องมีสมาธิกับการเล่นตั้งแต่ต้นจนจบเกม เพราะหากเสียสมาธิแค่นิดเดียว "หนูแรช" อาจทำให้พวกเขาน้ำตาตกได้

    ยังไม่หมดแค่นั้น ในส่วนของเกมรุก "ปีศาจแดง" ยังมี แดเนี่ยล เจมส์ ที่กำลังอยู่ในฟอร์มสุดยอดเช่นกัน และน่าจะเป็นนักเตะที่สร้างความปั่นป่วนในเกมรับของ "เรือใบสีฟ้า" ได้ตลอด เพราะความเร็วของเขามองยังไงก็เหนือกว่ากองหลังแชมป์เก่าหลายเท่า
 

 

5. สถิติ "ปีศาจแดง" เยือน เอติฮัด สเตเดี้ยม
    แมนฯ ยูไนเต็ด มีโอกาสได้เดินทางมาสัมผัสสังเวียนหญ้าเขียวขจีของ เอติฮัด สเตเดี้ยม 18 ครั้งนับตั้งแต่ที่ แมนฯ ซิตี้ ย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่เมื่อปี 2003 โดยผลงานของ "ปีศาจแดง" เก็บชัยชนะไป 8 แมตช์ เสมอ 2 เกม และตบท้ายด้วยการแพ้เจ้าบ้าน 8 นัด

    อย่างไรก็ตามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา "เร้ด เดวิลส์" มีสถิติค่อนข้างน่าพอใจในการเดินทางมาเยือนสโมสรคู่อริร่วมเมือง โดยพวกเขาเก็บชัยชนะ 2 จาก 4 แมตช์หลังสุดในการฟาดฟันกันในศึกพรีเมียร์ลีก โดยเกมแรกเกิดขึ้นจากฝีมือการส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าวของ แรชฟอร์ด ซึ่งทีมชนะ 1-0 เมื่อเดือนมีนาคม 2016

 

    ส่วนอีกเกมเกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยถือเป็นหนึ่งในแมตช์ที่น่าจดจำสำหรับเหล่าสาวก "เร้ด อาร์มี่" เพราะเกมนั้นพวกเขาตามหลังเจ้าบ้าน 0-2 แต่ต้องขอบคุณความสุดยอดของ ปอล ป็อกบา ที่ซัด 2 ประตู และ คริส สมอลลิ่ง 1 ประตูทำให้ทีมพลิกนรกคว้า 3 แต้มได้อย่างสุดยอด

    ถึงแม้ว่า เอติฮัด สเตเดี้ยม จะไม่ได้มีหญ้าเขียวขจีงดงาม เหมือนที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ซึ่งมีดีกรี "แชมป์หญ้าสวย" ก็ตาม แต่ดูเหมือนนักเตะ "ผีแดง" จะนิยมชมชอบกับการลงเล่นที่นี่ เพราะพวกเขามักจะได้ผลการแข่งขันที่ต้องการอยู่บ่อยๆ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
  • แม็คโทมิเนย์ ฟันเฟืองที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ขาดไม่ได้
    หลังจากเสมอในลีกมา 2 นัดก่อนหน้านี้กับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด (3-3) และ แอสตัน วิลล่า (2-2) ในที่สุด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็กลับมาสะกดคำว่า "ชนะ" ในลีกได้อีกครั้ง แถมยังเป็นเกมที่หลายคนคิดว่าพวกเขามีโอกาสได้ 3 แต้มน้อยอีกต่างหาก จากการที่เปิดรัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด คว้าชัยเหนือ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 2-1 เมื่อวันพุธที่ 4 ธันวาคม ที่ผ่านมา
  • แมนยู 2-1 สเปอร์ส
    "เดอะ สเปเชียล วัน" กลับมาเจอทีมเก่าชุดช้ำ หลังโดน มาร์คัส แรชฟอร์ด เหมาคนเดียวสองประตูพา แมนยู คว้าชัยเหนือ สเปอร์ส 2-1 หยุดความร้อนแรงของ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่ต้องเสียสถิติ ชนะรวด 3 เกมในทุกรายการ เก็บเพิ่มเป็น 21 คะแนน พุ่งขึ้นมาอยู่อันดับ 6 ของตารางในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ คืนวันพุธที่ผ่านมา

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »