ปี 2019 กับค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่ในแอนฟิลด์ : ภารกิจมหัศจรรย์คว่ำ บาร์ซ่า
Posted 25/12/2019 by siamsport
ปี 2019 ใกล้จะหมดในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว สำหรับแฟนบอลลิเวอร์พูล ต้องยอมรับว่านี่คือปีที่สุดยิ่งใหญ่ของพวกเขากับการผงาดคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ ซึ่งเป็นสโมสรแรกของอังกฤษ ที่ทำได้สำเร็จในรอบปฏิทินเดียว
อย่างไรก็ตามหากนึกถึงช่วงเวลาที่แสนน่าจดจำและไม่มีทางลืมเลือนไปได้คงหนีไม่พ้น เกมที่ "หงส์แดง" ปะทะ บาร์เซโลน่า ในรอบรองชนะเลิศ ถ้วยใบโตยุโรป ซึ่งพวกเขาแพ้ "เจ้าบุญทุ่ม" 0-3 ที่คัมป์ นู เกมแรก ก่อนจะสร้างปฏิหาริย์ไล่ถลุง บาร์ซ่า มันเกือก 4-0 ที่แอนฟิลด์ เกม 2 และนำไปสู่การเป็นเจ้าของโทรฟี่ "หูกาง" ในท้ายที่สุด
กระนั้นในเกมแรกที่ชามอ่างยักษ์ ทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือหาก บาร์ซ่า ได้อีก 1 ประตูในช่วงทดเจ็บนาทีสุดท้ายจากจังหวะ ลิโอเนล เมสซี่ ส่งบอลให้ อุสมาน เดมเบเล่ ยืนโล่งๆ แต่ดันยิงเบาเข้ามือ อลีสซง เบ็คเกอร์ สบายๆ ซึ่งหากจังหวะนั้นเป็นประตู 4-0 น่าจะเป็นการตอกฝาโลง "หงส์แดง" ดับสนิท
เปปิน ลินเดอร์ส ผู้ช่วยผู้จัดการทีม "หงส์แดง" เปิดใจเกี่ยวกับช่วงเวลาดังกล่าวว่า "ผมยังจำได้ดีกับเรื่องนั้น เพราะ เจอร์เก้น (คล็อปป์), ปีเตอร์ คราเวียตซ์ (โค้ช) และผมได้พูดคุยกับหลังจากที่พวกเขานำ 3-0 ว่ามันสำคัญมากแค่ไหนที่จะต้องยิงประตูอเวย์โกลให้ได้ อารมณ์ในช่วงเวลานั้นมันอาจจะสร้างปัญหาต่างๆ ได้ การเซฟของ อลีสซง ในจังหวะนั้นเป็นหนึ่งในการตัดสินที่สำคัญมาก ในช่วงที่เราลงเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก เขามักจะเซฟจังหวะสำคัญให้เราหลายเกม"
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครชื่นชมจังหวะเซฟดังกล่าวเพราะหลายคนมองว่าทุกอย่างจบสิ้นแล้ว และ บาร์เซโลน่า เตรียมแต่งกรีฑาทัพบุกกรุงมาดริด เมืองหลวงประเทศสเปน เพื่อไปทำศึกใหญ่ที่ว่านต๋า เมโทรโปลิตาโน่ สังเวียนฟาดแข้งชิงความเป็นจ้าวลูกหนังสโมสรยุโรป
ลิเวอร์พูล ยังต้องมาเจอกับสถานการณ์ที่ย่ำแย่เข้าไปอีกเพราะ 4 วันก่อนลงแข่งเกม 2 โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองในเกมกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ขณะที่ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ บาดเจ็นโคนขาหนีบซึ่งยากจะฟื้นตัวได้ทันรับมือ บาร์ซ่า
คล็อปป์ ต้องเจอกับงานสุดหินมากๆ โดยในช่วงเช้าวันที่ 6 พฤษภาคม ภายในห้องทำงานของเขาที่เมลวู้ด สนามซ้อมของทีม มีการพูดคุยกันระหว่างเจ้าตัวกับ ลินเดอร์ส และแรงกระตุ้นที่สำคัญที่เปลี่ยนอารมณ์ของบรรดาสตาฟฟ์เทคนิคของทีม
"การไม่มีทั้ง โม และ โรแบร์โต้ สกอร์ 0-3 ในการสู้กับ บาร์เซโลน่า ! เราพูดกันว่า -ไม่มีโอกาสเลย-" ลินเดอร์ส กล่าว "จากนั้นก็พูดกันว่า -ใช่....." ต่อด้วย "ไม่มีโอกาสจริงๆ" แล้วสุดท้ายก็พูดว่า -ใช่ ! แต่แล้วไงละ ?- หลังจากการพูดคุยกันตอนนั้นเราเชื่อว่าเรามีโอกาส"
"ผมรู้ว่ามันคงฟังดูแปลกๆ มากแค่ไหนตอนนี้ แต่ผมมั่นใจว่าเราจะทำได้ หากว่าเราเล่นตามแนวทางของเรา ถ้าเราสามารถหยุดการเล่นสวนกลับของพวกเขาด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามี ไม่มีแผน บี หรือแผนสำรอง มันแค่แผนของเราที่มาพร้อมกับการจินตนาการ ความมุ่งมั่นและความทะเยอทะยานของนักเตะเราไม่เหมือนกับใครในโลกนี้"
ช่วงบ่ายวันนั้น คล็อปป์ มีคิวต้องนั่งแถลงข่าวกับสื่อ เขาพูดกับสื่อกลุ่มเล็กๆ ประมาณ 10 นาที โดยเขาได้บอกเรื่องราวเกี่ยวกับความสุดยอดของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่เกือบคัมแบ็กจากสถานการณ์ตกเป็นรอง เรอัล มาดริด 0-3 ในเกมแรก ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย เมื่อปี 2014 (เกมสอง ชนะ 2-0)
ระหว่างการฝึกซ้อมของทีมในช่วง 24 ชั่วโมงก่อนลงแข่งเกม 2 ในแอนฟิลด์ ก็เกิดเรื่องที่ทำให้กำลังใจของขุนพล "เดอะ เร้ดส์" ห่อเหี่ยว เมื่อ แว็งซองต์ กอมปานี ยิงประตูสุดสวยเป็นประตูชัยให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชนะ เลสเตอร์ ซึ่งมีผลต่อการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกของ ลิเวอร์พูล อย่างมาก และทำให้นักเตะทุกคนเกิดอาการหมดหวังขึ้นมาทันที
กุนซือเลือดด๊อยท์ช รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่มีอยู่ 1 คน ซึ่งกลายเป็นฮีโร่ของทีม ได้เปลี่ยนความผิดหวังให้เป็นแรงมุ่งมั่น โดยตอนที่มีการจัด 11 ตัวจริงที่จะพบ บาร์เซโลน่า นั้น จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม โกรธมากๆ เพราะเขามีชื่อเป็นเพียงตัวสำรองเท่านั้น
"ผมไม่คิดว่าผมจะเคยเจอเรื่องบ้าบอแบบนี้ในอาชีพของผม" ไวจ์นัลดุม กล่าว "ผมโกรธมาก โกรธสุดๆ ! ผมวิ่งตรงดิ่งเข้าไปในห้อง ไม่พูดคุยกับใครทั้งนั้น ไม่มองใครด้วยซ้ำ ผมแสดงให้เห็นว่าผมอยากไปที่โรงแรมทันที ผมกินแค่นิดเดียวแล้วก็ตรงขึ้นไปห้องนอนเลย ผมจำได้ว่าตอนที่มีการประชุมในโรงแรม ผมไม่จำสิ่งที่มีการพูดกันไม่ได้เพราะผมคลั่งสุดๆ ผมไม่พูดอะไรเลย"
ไวจ์นัลดุม อาจจะไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในโรงแรมได้ แต่ไม่มีใครลืมคำพูดของ คล็อปป์ ในวันนั้นได้เลย โดยตอนนั้นเจ้านายจอมยิ้มพูดว่า "สิ่งที่พวกนายจำเป็นต้องทำในค่ำคืนนี้ผมบอกเลยว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ แต่เพราะนี่คือพวกนาย มันมีโอกาสเป็นไปได้"
เม็ดพันธุ์แห่งความมุ่งมั่นได้ถูกฝังอยู่ในหัวของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมลิเวอร์พูล ทันที โดย ลินเดอร์ส เผยว่า "เจอร์เก้น ไม่เหมือนคนอื่นที่ได้รวมเอาความแตกต่างระหว่างชัยชนะกับความพ่ายแพ้ในเกมแบบนี้เข้าด้วยกัน เขาบอกกับลูกทีมว่าเราจำเป็นต้องอยู่กับความเป็นจริง แรงกระตุ้นไม่ใช่กุญแจสำคัญอีกต่อไป"
"มันเกี่ยวกับว่าเมื่อไหร่, ที่ไหน, อย่างไร และอะไร แน่นอนว่านี่เป็นประโยคที่ไม่มีทีมใดในวงการฟุตบอลในโลกนี้สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้ยกเว้นทุกๆ คนที่มีความมุ่งมั่น และเชื่อใจ แอนฟิลด์เป็นสถานที่ทำให้คุณเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ไม่เพียงแค่กองเชียร์เท่านั้น แต่โดยเฉพาะสไตล์การเล่นที่เข้มข้นของเราด้วย"
"ไม่ว่าจะบรรดานักเตะหรือทีมต่างๆ ที่ไม่เคยเล่นในค่ำคืนที่แอนฟิลด์ ไม่รู้หรอกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาทำยังไงนะเหรอ ? เอาเป็นว่ามีผู้เล่นสองหรือสามคนที่วิ่งไล่ล่าคุณตลอด 95 นาที ส่วนแฟนบอลก็จะทำให้คุณรู้สึกว่าพวกเขาก็กำลังไล่ล่าคุณเช่นกัน"
สำหรับหลายๆ ทีมที่เคยมาเยือนแอนฟิลด์จะรู้ซึ้งเป็นอย่างดีถึงความน่ากลัวของเหล่าสาวก "เดอะ ค็อป" ที่ส่งเสียงเชียร์ดังสนั่นไม่มีหยุด ซึ่งนั่นนำไปสู่การได้ประตูขึ้นนำของเจ้าบ้านตั้งแต่ 10 นาทีแรก จาก ดิว็อค โอริกี้ ที่ตามซ้ำจังหวะยิงของ "เฮนโด้"
นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดที่น่าสนใจอย่างมากอย่างกรณีของเด็กเก็บบอล ซึ่งเป็นนักเตะรุ่นอายุไม่เกิน 14 ปีของอะคาเดมี่สโมสร โดยพวกเขาได้วางกลยุทธทุกอย่างเพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับทีม "การที่มีลูกบอลหลายลูกในแชมเปี้ยนส์ ลีก เรารู้ว่าเราสามารถได้ประโยชน์จากจุดนี้" ลินเดอร์ส กล่าว "ในทุกๆ รายละเอียด สามารถสร้างประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ได้หมด"
"เราทำวีดิโอสำหรับเด็กเก็บบอลของเรา และเราได้แนะนำพวกเขาในเกมวันนั้น มันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเราในการทุ่มเททุกอย่าง ทุกๆ คนทุ่มเทอย่างเต็มที่ทั้งนักเตะ, ผู้จัดการฝ่ายเสื้อผ้า, นักกายภาพบำบัด, ผู้จัดการทีม ไปจนถึงเด็กเก็บบอลทุกคน"
บาร์เซโลน่า ยังคงครองเกมแม้จะตกเป็นรอง 0-1 และมีโอกาสที่จะยิงประตูได้ แต่ทุกอย่างไม่เข้าทางพวกเขา ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ครั้งหนึ่งเคยเป็นขวัญใจแฟนบอลลิเวอร์พูล สู้เต็มที่, หลุยส์ ซัวเรซ อดีตสตาร์ "หงส์แดง" ยอมลงทุนเลื่อนการผ่าเข่าเพื่อจะช่วย บาร์ซ่า ในเกมนั้น
สถานการณ์ของทีมยิ่งแย่ลงเมื่อ เฮนเดอร์สัน มีอาการเจ็บที่เข่าแต่ยังคงฝืนเล่นต่อในครึ่งหลัง ขณะที่ เจมส์ มิลเนอร์ โดนเปลี่ยนจากตำแหน่งมิดฟิลด์ ไปเล่นกองหลัง เพื่อจะได้ส่ง ไวจ์นัลดุม ลงสนาม แทน แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่มีอาการบาดเจ็บ
"ผมไม่แน่ใจว่าผมได้ฟัง คล็อปป์ ช่วงพักครึ่งไหมตอนที่ผมต้องลงสนาม" ไวจ์นัลดุม กล่าว "บอกตามตรง ! ผมยังโกรธซึ่งมันยังคุกรุ่นอยู่ในความรู้สึกของผม รู้ไหมผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ดีที่ช่วยผม ผมคิดว่าความโกรธมันช่วยผมจริงๆ" ความโกธามันช่วยได้จริงโดยในเวลา 11 นาทีที่อยู่ในสนามเขาทำ 2 ประตู โดยเฉพาะจังหวะโหม่งประตูที่สามที่ทำให้สกอร์รวมเสมอกัน 3-3
"บอกเลยว่าขนลุกสุดๆ" สตาร์ลูกหนังทีมชาติฮอลแลนด์ กล่าวเสริม "นี่เป็นการโหม่งที่ดีที่สุดในชีวิตของผม เมื่อผมตื่นขึ้นมาในเช้าอีกวัน ผมบอกกับตัวเองว่า -ได้โปรดนี่ไม่ใช่ความฝันใช่ไหม- เราทำในสิ่งที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ"
จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดก็คือจังหวะการเล่นลูกเตะมุมที่แสนชาญฉลาดของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ซึ่งทำให้ โอริกี้ ได้ซัดประตูชัยอย่างงดงาม จบเกม "หงส์แดง" ได้ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ และนั่นคือค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแอนฟิลด์
หลังจบเกมบรรดาขุนพล "เดอะ เร้ดส์" และทีมงานทุกคน ได้ไปยืนร้องเพลงที่หน้าอัฒจันทร์ฝั่ง เดอะ ค็อป ขณะที่ เมสซี่ ยังเสียใจไม่หยุด โดยเขาถึงกับร้องไห้ภายในอุโมงค์สนาม โดย ลินเดอร์ส กล่าวว่า "ลองคิดดูซิ ฟาบินโญ่ หยุดการเล่นสวนกลับเร็วได้ตลอด รวมทั้งการทำงานร่วมกับ โฌแอล มาติป และ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์"
"เทรนต์ทำในสิ่งที่เขาควรทำ, ซาดิโอ มาเน่ และ (เซอร์ดาน) ชากีรี่ ต้องลงเล่นในฐานะแนวรุก 3 คน ซึ่นี่เป็นเกมที่ดีเยี่ยม จีนี่ ลงสนามและทำผลงานได้อย่างสุดยอดที่สุดของซีซั่นในฐานะตัวสำรอง เฮนโด้ ทุ่มเทพลังทั้งหมด มิลลี่ เล่นได้ดีเยี่ยมในครึ่งหลังกับตำแหน่งแบ็กซ้าย และทำให้แน่ใจว่าทีมยังคงเล่นตามระบบ และกระตือรือร้น ผมตะโกนลั่นราวๆ 10 นาทีหลังจบเกม"
ท้ายที่สุด ลิเวอร์พูล ปราบ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 2-0 ในรอบชิงชนะเลิศ ส่งให้พวกเขาคว้าแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก อย่างยิ่งใหญ่ และเป็นสมัยที่ 6 ของสโมสร อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นเลยหากไม่มีความทุ่มเทหมดหัวใจในแมตช์ปะทะ บาร์ซ่า
"แนวทางที่เราผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ การเอาชนะ บาร์เซโลน่า มันมีค่าคู่ควรกับการได้ชูถ้วยแชมป์ บางทีมันสำคัญมากๆ ทุกครั้งที่ได้ชูถ้วยแชมป์ เราจะคิดเกี่ยวกับเกมนี้ (ชนะ บาร์เซโลน่า) และฟอร์มการเล่นของเรา เราต้องสู้เพื่อสร้างความสำเร็จอีกครั้งในปีนี้ เราสามารถทำได้" ลินเดอร์ส ระบุ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
สไตล์เข้ากัน! คล็อปป์เชื่อมินามิโนะเติมเต็มลิเวอร์พูล
กุนซือหงส์แดงมั่นใจแนวรุกทีมชาติญี่ปุ่นจะเข้ามาช่วยทีมได้ เพราะนักเตะมีสไตล์การเล่นที่เข้ากับสโมสรเป็นอย่างดีฟลอยด์ยินดี'โด้-เมสซี่'ติดโผรวยเละด้วยกัน
ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ยอดนักชกชาวอเมริกัน ร่วมยินดีกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่ สองซูเปอร์สตาร์วงการลูกหนังที่ติดโผ 3 อันดับแรกนักกีฬาฟันรายได้มากสุดในรอบทศวรรษด้วยกัน47แชมป์แล้วนะ!ลิเวอร์พูลอัพเกรดกำแพงสนามซ้อม
แชมป์รายการใหม่ของ ลิเวอร์พูล ขึ้นป้ายทำเนียบที่ เมลวู้ด ส่งผลยอดรวมแชมป์เมเจอร์ทั้งหมดพุ่งไปที่ 47 เฉพาะในปีนี้ก็กดไป 3 ถ้วยสำคัญแล้วโคตรแกร่ง!คาร์ราเกอร์จัดทีมลิเวอร์พูลแห่งทศวรรษ
เจมี่ คาร์ราเกอร์ ตำนานกองหลัง ลิเวอร์พูล ที่ปัจจุบันเป็นกูรูลูกหนังให้กับทาง Sky Sports ไม่ยอมตกเทรนด์ เมื่อล่าสุดลงมือจัดทีม "หงส์แดง" แห่งทศวรรษ (ปี 2010-2019) ด้วยตัวเอง พร้อมแสดงมุมมองและเหตุผลในการเลือกด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่นักเตะแทบจะทั้งทีม มาจากขุนพลชุดปัจจุบันภายใต้การนำทัพของกุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ ส่วนหน้าตาจะออกมาเป็นเช่นไร และตรงใจสาวก "เดอะ ค็อป" มากน้อยแค่ไหน เรามาดูกัน (ระบบ 4-2-3-1)
TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน
ฉลองวันเกิด!บาร์เซโลน่า จ่อขยายสัญญา ลามีน ยามาล เป็นสถิติใหม่
วิเคราะห์บอล เซลต้า พบ บาร์เซโลน่า วันเสาร์ที่ 23 พ.ย. 67
แมนซิตี้ พบ สเปอร์ส ! อีฟส์ บิสซูม่า ซิวใบเหลืองไวเป็นสถิติพรีเมียร์ลีก
ผลบอล : เลเวอร์คูเซ่น โดน 2 รัวแซงสะเด่า, ดอร์ทมุนด์ ดุรัว 4 เม็ด
ยังไม่ฟิต! บาร์เซโลน่า ไร้ ลามีน ยามาล ฟัด เซลต้า
อัลบั้มภาพเด็ดๆ
มาย ฮาเร็ม ส่งภาพเขย่าโซเชียล นุ...
เจนนี่ ธมนภัค พริตตี้สุดฮอต นุ่ง...
ฮาน่า ฮาอึน ชอง ดาว TikTok สาวสว...
นาฟ ฉัฐนันท์ ปล่อยแซ่บท้าลมหนาว ...
เต็มที่แล้ว! ไทย พ่าย อุซเบกิสถา...
ตัดเกรด นักเตะไทย เกมเสมอ โอมาน ...
คลิปไฮไลท์