ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » พรีเมียร์ลีก อังกฤษ » คนเหล็กมิลเนอร์, จอมพลังโรเบิร์ตสัน ! ผ่า 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล ชนะ เลสเตอร์

คนเหล็กมิลเนอร์, จอมพลังโรเบิร์ตสัน ! ผ่า 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล ชนะ เลสเตอร์

Posted 23/11/2020 by siamsport

ลิเวอร์พูล ยังแสดงให้เห็นถึงทีมที่มีแคแรกเตอร์แชมเปี้ยน เมื่อพวกเขาไม่มีนักเตะตัวหลักลงสนามเกือบครึ่งทีม แต่สามารถโชว์ฟอร์มสุดยอดไล่ต้อน เลสเตอร์ ซิตี้ 3-0 ที่สนามแอนฟิลด์ ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
   
สามประตูจาก จอนนี่ อีแวนส์ (เข้าประตูตัวเอง), ดีโอโก้ โชต้า และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ทำให้ตอนนี้พวกเขาเก็บไปแล้ว 20 คะแนนเท่ากับ "ไก่เดือยทอง" ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ แต่ยังคงเป็นได้แค่รองจ่าฝูงเนื่องจากประตูได้เสียเป็นรองทีมของกุนซือโชเซ่ มูรินโญ่

ที่สำคัญแมตช์นี้ "หงส์แดง" ทำให้โลกได้เห็นแล้วว่า แอนฟิลด์ เป็นสนามที่น่ากลัวมากแค่ไหน หลังจากที่พวกเขาสามารถยืนสถิติไร้พ่ายที่เมกกะลูกหนังแห่งนี้จำนวน 64 เกมซึ่งยาวนานที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์สโมสร พร้อมทั้งเก็บคลีนชีตแรกในบ้านตัวเองประจำซีซั่นนี้ด้วย

1. โชต้า สตาร์คนใหม่ที่คู่ควรตัวจริง
ตอนนี้คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ดีโอโก้ โชต้า คือสตาร์คนใหม่ของ ลิเวอร์พูล ไปเรียบร้อยแล้ว หลังนักเตะระเบิดฟอร์มสุดยอดนับตั้งแต่ที่ย้ายจาก วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ ด้วยค่าตัวแค่ 40 ล้านปอนด์ (ราว 1,520 ล้านบาท) เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา

แม้ในช่วงแรก โชต้า จะเป็นเพียงตัวสำรองของสามประสาน "หินเหล็กไฟ" ซาดิโอ มาเน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ แต่ตอนนี้นักเตะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขามีค่ามากกว่าการเป็นแค่ตัวสำรองเพื่อลงมาทำหน้าที่เป็นซูเปอร์ซับเท่านั้น

ผลงานนับตั้งแต่สวมเสื้อ "หงส์แดง" ในเวลานี้ โชต้า ซัดไปแล้ว 8 ประตูจากการลงเล่นทุกรายการที่ลงเล่นให้กับต้นสังกัด ที่เด็ดยิ่งกว่านั้นก็คือเขายังกลายเป็นนักเตะคนแรกของสโมสรที่สามารถซัดประตูติดต่อกัน 4 แมตช์แรกในเกมพรีเมียร์ลีกที่สนามแอนฟิลด์ด้วย หลังซัดประตูที่สองให้ต้นสังกัดในครึ่งแรก

ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นก็คือจังหวะที่ โชต้า ทำประตูให้ทีมในแมตช์นี้มีการผ่านบอลต่อเนื่องถึง 30 ครั้ง ซึ่งถือเป็นการต่อบอลเข้าไปทำประตูมากที่สุดนับตั้งแต่ที่ "ออปต้าโจ" (OptaJoe) เว็บไซต์บันทึกด้านสถิติ ทำการเก็บสถิตินี้ตั้งแต่ฤดูกาล 2006/2007

ไม่ใช่แค่ฟอร์มการยิงประตูเท่านั้น แต่ ดาวเตะชาวโปรตุกีส ยังมีส่วนในการเชื่อมเกมรุกของทีมด้วย โดยนักเตะมีโอกาสที่จะผ่านบอลสวยๆ ให้กับเพื่อนร่วมทีมหลายครั้ง โดยเฉพาะช่วงท้ายเกมที่ส่งบอลให้ มาเน่ หลุดเข้าไปซัดประตู แต่โดน แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ปัดออกไปอย่างหวุดหวิด

ฉะนั้นเมื่อ ซาลาห์ หายจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 คล็อปป์ คงต้องขบคิดแล้วว่าเขาจะพักใครในแดนหน้า ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่หวยจะออกที่ ฟีร์มีโน่ !!!

2. โรเบิร์ตสัน แกร่งทั้งร่างกายและฟอร์มการเล่น
ก่อนเกมรับมือ เลสเตอร์ แน่นอนว่าบรรดาสาวก "เดอะ ค็อป" คงรู้สึกอกสั้นขวัญหายเมื่อมีรายงานว่า แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน มีอาการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อต้นขา แต่สุดท้ายนักเตะผ่านความฟิตและลงสนามได้ ทำให้เขาเป็นผู้เล่นแบ็กโฟร์ชุดใหญ่คนเดียวที่ยังอยู่รอดปลอดภัยไม่โดนอาการบาดเจ็บเล่นงาน

การมี โรเบิร์ตสัน ลงสนามต้องบอกว่ามีความสำคัญมากๆ เพราะแมตช์นี้ "หงส์แดง" ขึ้นเกมบุกทางริมเส้นฝั่งซ้ายเยอะมาก และดาวเตะทีมชาติสกอตแลนด์ ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเมื่อเขามีโอกาสเปิดบอลสวยๆ ให้ทีมได้หลายครั้ง รวมไปถึงจังหวะทำประตูของ โชต้า ด้วย

ในส่วนของเกมรับ โรเบิร์ตสัน ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมไม่มีที่ติเช่นกัน โดยนักเตะแสดงให้เห็นถึงพละกำลังในการวิ่งขึ้นวิ่งลงแบบไม่มีหมด ฉะนั้นต้องยอมรับว่าสภาพความฟิตของ ดาวเตะเลือดวิสกี้ ยิ่งกว่าเกินร้อยเปอร์เซนต์ แต่ในสถานการณ์ที่มีการเตะฟุตบอลแบบ 3 วันต่อเกม งานนี้ คล็อปป์ คงต้องวิเคราะห์อย่างถ้วนถี่หากคิดจะส่งนักเตะลงสนามต่อเนื่องแบบนี้

 3.  ไม่มีตัวหลักไม่มีปัญหา
มีหลายคนป้องปากค่อนขอด ลิเวอร์พูล ว่าอาจจะต้องเจอกับสถานการณ์ยากลำบากเนื่องจากผู้เล่นตัวหลักโดนอาการบาดเจ็บและปัญหาติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เล่นงาน ทำให้ คล็อปป์ จำเป็นต้องปรับแผนด้วยการส่งผู้เล่นกำลังเสริมลงสนาม และก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

เคอร์ติส โจนส์ ทำหน้าที่ในแดนกลางได้ดีเยี่ยมแม้อายุเพียงแค่ 19 ปีเท่านั้น แต่เล่นได้ราวกับนักเตะมีประสบการณ์สูง ขณะที่ เจมส์ มิลเนอร์ ต้องบอกเลยว่าทำผลงานชนิดที่ทุกๆ คนคงลืมไปแล้วว่าเขาอายุปาเข้าไป 34 ปีแล้ว แต่เล่นด้วยพลังฟิตราวกับเด็กหนุ่มวัยขบเผาะ

สำหรับ มิลเนอร์ ต้องบอกว่าสามารถทำหน้าที่ได้ตามที่ คล็อปป์ สั่งได้ดีไม่มีที่ติ เพราะเกมนี้เจ้าตัวถูกส่งลงมาเล่นในตำแหน่งแบ็กขวาแทน เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และมีส่วนช่วยให้ทีมได้ประตูแรกจากการเปิดมุมที่เฉียบคม จนส่งผลให้ จอนนี่ อีแวนส์ โหม่งเข้าประตูตัวเอง และอีกครั้งในจังหวะเปิดมุมที่วางบอลอย่างแม่นยำให้ ฟีร์มีโน่ โหม่งตอกฝาโลงในช่วงท้ายเกม

ในขณะเดียวกัน มิลเนอร์ ยังสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองไปเล่นในตำแหน่งกองกลางแทนที่ นาบี เกอิต้า ที่มีปัญหาบาดเจ็บเล่นงานในช่วงต้นครึ่งหลัง ฉะนั้นต้องยอมรับว่า ดาวเตะจอมเก๋าเลือดผู้ดีรายนี้มีอิทธิพลต่อทีมอย่างมาก เพราะสามารถช่วยเติมเต็มในตำแหน่งต่างๆ ได้อย่างไม่มีที่ติ

ยกเว้นตำแหน่งผู้รักษาประตูที่ยังไงซะ คล็อปป์ คงไม่ให้ มิลเนอร์ เฝ้าเสาแน่นอน !!!

4.  แนวรับยังทำผลงานได้ดีเยี่ยม
การที่ทีมไม่มีเซนเตอร์แบ็กอาชีพอย่าง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ โจ โกเมซ ทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูล ค่อนข้างเครียดเนื่องจากมองซ้ายแลขวาแล้วนอกจาก โฌแอล มาติป พวกเขาเหลือแต่พวกดารุ่งอย่าง นาธาเนียล ฟิลลิปส์, เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก และ รีส วิลเลี่ยมส์ ที่เป็นเซนเตอร์แบ็กขนานแท้แต่ประสบการณ์น้อย

เดชะบุญที่สวรรค์ยังมีตาเมื่อ ฟาบินโญ่ หายเจ็บและมีสภาพร่างกายฟิตสมบูรณ์ ทำให้ คล็อปป์ สามารถจับเขาทำหน้าที่เป็นเซนเตอร์แบ็กจำเป็นร่วมกับ มาติป ซึ่งทั้งคู่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจัดการเกมบุกของ เลสเตอร์ อยู่หมัด โดยเฉพาะการจัดการ เจมี่ วาร์ดี้ ให้หายไปจากเกม

 ต้องยอมรับว่าความนิ่งของ ฟาบินโญ่ มีส่วนสำคัญกับการเล่นเกมรับของ มาติป ด้วย เพราะทำให้ ดาวเตะชาวแคเมอรูน ไม่ต้องแบกรับภาระหนักมากเกินไปในการสู้กับหัวหอกที่มีความเร็วสูงอย่าง วาร์ดี้ ในขณะที่ลูกกลางอากาศต้องบอกเลยว่าทั้งสองคนเก็บกินเรียบวุธ

สำหรับแบ็กขวาต้องยอมรับว่า มิลเนอร์ สามารถทดแทนการขาดหายไปของ "เจ้าหนูเทรนต์" ได้อย่างดีไม่มีที่ติ ขณะที่แบ็กซ้ายคงไม่ต้องชมอะไรมากนักเพราะผลงานของ โรเบิร์ตสัน แสดงให้เห็นแล้วว่านี่คือหนึ่งในนักเตะที่ คล็อปป์ ประทับใจที่สุด และเป็นผู้เล่นที่กำลังก้าวขึ้นเป็นตำนาน "หงส์แดง" ในอนาคต

5. แอนฟิลด์ดินแดนสุดขลัง
ตอนนี้หากทีมคู่แข่งในพรีเมียร์ลีก ได้ยินว่าพวกเขาต้องไปเยือน แอนฟิลด์ แน่นอนว่าอาการอกสั่นขวัญหายคงเกิดขึ้นมาในใจทันที เพราะสถิติที่ "หงส์แดง" ในยุคคล็อปป์ กุมบังเหียนมันน่ากลัวชนิดที่แค่ก้าวลงสนามก็รู้สึกได้ถึงมนต์ขลังแห่งความน่าเกรงขาม

หลังเกมที่ไล่ต้อนทีมของกุนซือเบรนแดน ร็อดเจอร์ส แบบสบายเกือก ทำให้ตอนนี้ ลิเวอร์พูล สะกิดคำว่าแพ้ไม่เป็นกับการเล่นในสนามเหย้าของตัวเอง 64 แมตช์ในเกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดี โดยแบ่งเป็นชนะ 53 แมตช์ เสมอ 11 เกม ซึ่งยาวนานที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์สโมสร

ที่สำคัญในชัยชนะเกมนี้ยังมีเรื่องน่ายินดีแฝงอยู่อีกเรื่องนั่นก็คือการที่พวกเขาสามารถเก็บคลีนชีตได้แมตช์แรกในบ้านกับการลงเล่นเกมลีก และเป็นคลีนชีตแมตช์ที่ 2 (ชนะ เชลซี 2-0 ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์) จากทั้งหมด 9 แมตช์ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องดีๆ ในยุคที่ "หงส์แดง" มีปัญหาแนวรับรุมเร้า

ฉะนั้นลองคิดดูในช่วงก่อนโควิด-19 ระบาดสนามแห่งนี้มีแฟนบอลเข้ามาให้กำลังใจทีมอย่างล้นหลาม และเสียงเชียร์ของพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งที่กระตุ้นทีมให้คว้าชัยชนะเป็นว่าเล่น แม้ตอนนี้จะไม่มีสาวก "เดอะ ค็อป" เข้ามาในสนาม แต่มนต์ขลังของเมกะลูกหนังแห่งนี้ยังคงน่ากลัวเหมือนเดิม

 และหากถึงเวลาที่เหมาะสมที่เหล่าสาวก "เดอะ ค็อป" ได้โอกาสกลับมาอยู่ในสนามแห่งนี้ และได้ส่งเสียงเชียร์อย่างกึกก้องอีกครั้ง สถิติจะน่ากลัวยิ่งกว่านี้อีกไหม ลองคิดดูก็แล้วกัน !!!

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
  • ชัดเจนนะ!คล็อปป์แจงแล้วกระแสลาลิเวอร์พูลไปคุมเยอรมนี
    เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือ ลิเวอร์พูล ระบุ ในตอนนี้ยังไม่สนใจไปคุมทีมชาติเยอรมนี โดยบอกว่ายังต้องรับผิดชอบกับหลายเรื่องของ "หงส์แดง"
  • ลิเวอร์พูลไร้ "ซาลาห์-เฮนโด้"! "โชต้า" ลงยิง,เลสเตอร์ทวงจ่าฝูง! "วาร์ดี้" นำตะบัน
    "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล จะไม่มี โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ถูกกักตัวเหตุติดเชื้อโควิด-19 และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน บาดเจ็บจากเกมทีมชาติ โดยจะส่ง ดีโอโก้ โชต้า ตัวจริงปิดสกอร์นัดรับคม "จิ้งจอกสีน้ำเงิน" เลสเตอร์ ซิตี้ ที่หวังกลับขึ้นแซงนำหัวตารางคะแนนอีกครั้ง ลุ้นระทึกได้ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันอาทิตย์ที่ 22 พ.ย. ศกนี้ ถ่ายทอดสด : True Premier Football HD 1 (เวลา : 02.15 น.)
  • คล็อปป์ตอบเองช็อปกองหลังช่วงม.ค.หรือไม่
    หลังจากมีข่าวลือกับการซื้อกองหลังในช่วงกลางฤดูกาลมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เจอร์เก้น คล็อปป์ นายใหญ่ ลิเวอร์พูล ก็บอกเองว่ายังไม่รู้ว่าจะทำอย่างนั้นจริงๆ รึเปล่า พร้อมบอกว่าที่จริงแข้งดาวรุ่งหลายคนของ "หงส์แดง" ก็มีศักยภาพดีพอที่จะช่วยทีมได้เหมือนกัน
  • ใจชื้นขึ้นมาบ้าง!ฟานไดค์หวนซ้อมแบบเบาแล้ว
    เดลี่ เมล สื่อของอังกฤษ ตีข่าว เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ปราการหลัง ลิเวอร์พูล เริ่มซ้อมเพื่อฟื้นสภาพร่างกายแบบเบาๆ ได้แล้ว แต่ก็ยังไม่ชัวร์ว่าเขาจะคืนสนามได้เร็วกว่ากำหนดรึเปล่า

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »