ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » ยูฟ่า /ยูโรป้าลีก/ยูโรคัพ » เจอกันที่ยูโรปา ลีก! เจาะ 5 ประเด็นแมนยูพ่ายช้ำไลป์ซิก

เจอกันที่ยูโรปา ลีก! เจาะ 5 ประเด็นแมนยูพ่ายช้ำไลป์ซิก

Posted 09/12/2020 by siamsport

โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับเขาสู่การวนลูปสุดสยองอีกครั้ง เมื่อนำ "ปีศาจแดง" ออกไปแพ้ แอร์เบ ไลป์ซิก 2-3 ที่สนามเร้ดบูลล์ อารีน่า ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เอช นัดสุดท้าย เมื่อวันอังคารที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้พวกเขาต้องร่วงตกรอบถ้วยใบโตยุโรปอย่างน่าเจ็บปวด
   
แมตช์นี้ "ผีแดง" แค่เสมอก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาลอยลำไปเล่นในรอบน็อกเอาต์ แต่กลายเป็นว่าเริ่มเกมเพียง 12 นาที แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องตกเป็นรองเจ้าบ้าน 0-2 ขณะที่ครึ่งหลังก็ยังไม่สามารถแก้คืนได้ แถมโดนยิงหนีห่างไปเป็น 0-3 แม้ช่วง 10 นาทีสุดท้ายจะยิงคืนมาได้ 2 ประตู แต่ก็ไม่เพียงพอ จบเกม "เร้ด เดวิลส์" ต้องกลับบ้านพร้อมคราบน้ำตา

สำหรับตอนนี้แฟนบอล "เร้ด อาร์มี่" เริ่มตั้งคำถามแล้วว่ายังคงให้โอกาส โซลชา ต่อไปหรือไม่ หรือจะมองหาทายาทคนใหม่มาทำงานแทน ซึ่งก็ไม่ต้องไปมองไกลแค่หันไปข้างๆ ก็เจอหน้าละอ่อนของ ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ ที่ดูแล้วคงจะมีอะไรเด็ดๆ มากกว่า "น้าลูกอม" หลายเท่า

1. เริ่มต้นแย่ก็ปราชัยไปกว่าครึ่ง
จะว่าไปแล้วในฤดูกาลนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มักจะเริ่มต้นเกมได้แย่เป็นประจำโดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรก พวกโดนคู่แข่งยิงประตูนำไปก่อนตลอด แต่ก็สามารถกลับมาฟื้นคืนชีพได้เมื่อเกมผ่านไปพักใหญ่ หรือในครึ่งหลังที่ได้รับการกระตุ้นจาก โซลชา

อย่างไรก็ตาม ช่างโชคร้ายเหลือเกินสำหรับแมตช์ที่เพราะขุนพล "ปีศาจแดง" ไม่สามารถระเบิดพลังแฝงเพื่อกลับมาจากนรกโลกันต์ เพราะแมตช์นี้ ไลป์ซิก มีการวางแท็กติกมาเป็นอย่างดี เนื่องจากพวกเขาเคยได้รับบทเรียนหลอนมาแล้วในเกมเยือนโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

เกมนี้ ไลป์ซิก เริ่มเกมได้ดุดันและต่อบอลอย่างแม่นยำจนสามารถเบิกประตูแรกได้ตั้งแต่สองนาทีแรก และจากนั้นอีกสิบนาทีต่อมาก็ยิงห่างเป็น 2-0 จริงๆ แล้วหากไม่มีจังหวะล้ำหน้างานนี้ เจ้าของแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี 20 สมัย คงโดนทิ้งห่างไปสามตุงแล้ว

จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ "เร้ด เดวิลส์" พ่ายแพ้ก็คือเกมรุกที่ขาดความเฉียบคม โดยเฉพาะ เมสัน กรีนวู้ด ที่พลาดโอกาสยิงประตูให้กับทีม เช่นเดียวกับ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่มีแต่ความรวดเร็ว และว่องไว แต่ขาดจังหวะการยิงประตูที่แม่นยำ ถือเป็นสิ่งที่ โซลชา ต้องรีบนำไปปรับปรุงแก้ไขเป็นการด่วน

แม้พวกเขาจะสามารถยิงสองประตูในช่วง 10 นาทีสุดท้าย และดูเหมือนสาวก "เร้ด อาร์มี่" กำลังฝันถึงมนต์ขลังการคัมแบ็ก แต่ด้วยการเล่นที่ขาดความแม่นยำ ที่สำคัญแนวรุกไม่มีทีเด็ด บทสรุปก็คือการที่พวกเขาได้ผ่านไปเล่นรอบน็อกเอาต์ แต่ในถ้วยยูโรปา ลีก นะ

2. ขาด เฟร็ด เหมือนขาดใจ
การที่ทีมต้องขาด เฟร็ด ในเกมสำคัญเนื่องจากติดโทษแบน ถือเป็นเรื่องที่สายหายใหญ่หลวงมากๆ เพราะ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ กับ เนมานย่า มาติช ไม่สามารถประสานงานในแดนกลางได้เข้าขากันเลย ส่งผลให้แผงมิดฟิลด์ของพวกเขาไม่สามารถชิงความได้เปรียบจากเจ้าบ้านได้

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไม  โซลชา ถึงไม่ส่ง ปอล ป็อกบา ลงสนามเป็นตัวจริง หรือจับ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค เล่นแดนกลางตั้งแต่ต้นเกม แน่นอนว่าการแผนแบบนี้มาจากเหตุผลเรื่องของแท็กติก เพราะ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเล่นเกมบุกเต็มตัว แค่รอโอกาสเพื่อสวนกลับก็เพียงพอแล้ว

อย่างไรก็ตามแท็กติกนี้ดันกลายเป็นการทำลายเกมของ "ปีศาจแดง" ไปซะงั้น เพราะ แม็คโทมิเนย์ กับ มาติช เล่นไม่เข้าใจกันเลย โดยเฉพาะในรายของ ดาวเตะชาวเซิร์บ ที่เล่นเกมรับได้ไม่ดี ในขณะเมื่อมีโอกาสเล่นเกมรุกก็ไม่สามารถปั้นเกมได้ด้วย

การประสานงานในแดนกลางของทั้งคู่แทบไม่เกิดประโยชน์ ที่สำคัญการใช้งานมิดฟิลด์ตัวรับ 2 คนในขณะที่ทีมตามหลัง 2-0 ตั้งแต่ 12 นาทีแรก จึงไม่ใช้แท็กติกที่ "ปีศาจแดง" ควรนำมาใช้ในแดนกลาง เพื่อที่จะพลิกสถานการณ์ที่กำลังตกเป็นรอง

จะเห็นได้ว่าเมื่อ "น้าลูกอม" ส่ง ฟาน เดอ เบ็ค ลงสนามในช่วงครึ่งหลัง ทีมเริ่มมีเกมรุกที่หวือหวาน่ากลัวมากขึ้น ผสมกับการได้ ป็อกบา มาช่วยขับเคลื่อนเกมแดนกลาง ยิ่งทำให้ แมนฯ ยูฯ กดดัน ไลป์ซิก ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหาก โซลชา คิดเร็วทำเร็ว ป่านนี้ทีมอาจจะได้อะไรมากกว่านี้

3. การขาดขุมกำลังเชิงลึกในแนวรุก
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องกลับบ้านพร้อมด้วยคราบน้ำตาก็คือ การที่พวกเขาขาดแนวรุกที่เฉียบคม โดยเฉพาะเมื่อถึงเวลาที่ต้องแก้ไขสถานการณ์ โซลชา ไม่มีตัวผู้เล่นทีเด็ดที่จะมาช่วงพลิกนรกเหมือนกับหลายๆ เกมที่ผ่านมา

ลองนึกถึงแมตช์ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด พลิกชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน 3-2 ทั้งๆ ที่โดนนำไปก่อน 0-2 จะเห็นได้ว่า โซลชา สามารถปรับแท็กติกด้วยการส่ง เอดินสัน คาวานี่ ลงสนามเพื่อช่วยเกม และนักเตะสามารถใช้ประสบการณ์กับเทคนิคชั้นยอดช่วยทีมได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

อย่างไรก็ตาม การที่ คาวานี่ มีปัญหาบาดเจ็บ แถม อองโตนี่ มาร์กซิยาล ก็โดนโรคเดี้ยงเล่นงาน ทำให้เกมนี้ นายใหญ่ชาวนอร์เวย์ มีแค่ กรีนวู้ด กับ แรชฟอร์ด ยืนไล่ล่าตาข่าย ซึ่งเมื่อแนวรับ ไลป์ซิก สามารถอ่านเกมของทั้งคู่ได้ทำให้ทีมเล่นไม่ออก แต่ก็ไม่สามารถปรับแท็กติกได้เพราะไม่มีกองหน้าเปลี่ยนลงมาเล่น

จะเห็นได้ว่าในช่วงท้ายเกม แมนฯ ยูไนเต็ด ยิงสองประตูไล่ตีตื้นขึ้นมาได้ และถ้าพวกเขามี คาวานี่ กับ มาร์กซิยาล อยู่ในสนามจะยิ่งช่วยกดดันให้กองหลังของ ไลป์ซิก สับสนในการตามประกบ และมีโอกาสสูงมากที่ทีมจะได้ประตูเพื่อต่อชีวิตในถ้วยใบโตยุโรป

 4. แบ็กโฟร์, เด เคอา น่าผิดหวัง
ต้องยอมรับว่าแผงแบ็กโฟร์แมนฯ ยูไนเต็ด เกมนี้เล่นได้น่าผิดหวังจริงๆ โดยเฉพาะ อารอน วาน-บิสซาก้า ที่ไม่สามารถจัดการกับ อังเคลินโญ่ ได้เลย และปล่อยให้นักเตะมีโอกาสได้หลุดไปเปิดบอลจากด้านข้างได้หลายครั้ง โดยเฉพาะ 2 ประตูแรกที่เสียไปมาจากทางฝั่งขวา "ผีแดง" ทั้งนั้น

ขณะเดียวกันการเติมเกมบุกของฟูลแบ็กทั้งสองข้างก็ขาดประสิทธิภาพ ไม่สามารถกดดันเกมรับ แอร์เบ ไลป์ซิก ได้เลย เช่นเดียวกับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ และ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ไม่ได้ช่วยอะไรทีมมากนักในจังหวะที่ "ผีแดง" เสียสองประตูแรก

สำหรับประตูที่สามต้องบอกเลยว่าส่วนหนึ่งมาจากการเล่นที่ขาดสมาธิของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ปล่อยให้ ไลป์ซิก แย่งบอลจากบริเวณหน้าประตูตัวเอง จากนั้น อังเคลินโญ่ เปิดบอลเหมือนจะไม่มีอะไร แต่การที่ แม็กไกวร์ กับ เด เคอา ดันไม่เข้าใจกัน ทำให้  จัสติน ไคลเวิร์ต วิ่งเข้ามายกบอลหนี นายด่านชาวสแปนิช เข้าไปนอนซุกก้นตาข่ายสบายๆ

แม้ความผิดพลาดดังกล่าวดูเหมือนไม่ควรพาดพิงเกมรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่อย่าลืมว่าการเล่นที่ขาดความละเอียดสำหรับเกมที่มีความสำคัญแบบนี้ ย่อมส่งผลเสียหายหลายแสน และแมตช์นี้คงจะเป็นบทเรียนสำคัญของนักเตะ "ปีศาจแดง" ที่จะต้องจำเอาไว้ว่า ต้องมีสมาธิอยู่กับเกมตลอดเวลา

5. นาเกลส์มันน์ บุรุษที่น่าจับตามอง
ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ ถือเป็นเทรนเนอร์คนหนุ่มไฟแรงที่ได้รับการพูดถึงอย่างมากเรื่องกึ๋นในการวางแท็กติก เพราะเขาสามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำทีมต่อกรกับยักษ์ใหญ่อย่าง บาเยิร์น มิวนิค และ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ได้สูสี

กุนซือหนุ่มวัย 33 ปี เริ่มต้นโด่งดังจากการกุมบังเหียนฮอฟเฟนไฮม์ แล้วสร้างชื่อขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีทีมไหนกล้าเสี่ยงที่จะดึงเขาไปคุมทีม เพราะอาจด้วยวัยวุฒิและประสบการณ์ที่ค่อนข้างน้อยนิดในเกมลูกหนัง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบากในการต้องคุมลูกทีมเพื่อขับเคี้ยวกับสโมสรชั้นนำในบุนเดสลีกา

อย่างไรก็ตาม ไลป์ซิก กล้าที่จะเสี่ยงใช้งาน นาเกลส์มันน์ และตอนนี้เขาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าต้นสังกัดคิดไม่ผิดที่ให้โอกาสเขาในการทำงาน โดยปัจจุบัน ไลป์ซิก กลายเป็นทีมแกร่งในลีกสูงสุดเมืองเบียร์ไปแล้ว แถมเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา ยังได้ผ่านเข้าไปเล่นรอบรองชนะเลิศ ถ้วยใบโตยุโรปด้วย

ด้วยมันสมองที่ปราดเปรื่องรู้จักใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า และเหมาะสม  ผสมกับการวางแท็กติกที่แยบยล โดยเฉพาะการสั่งลูกทีมให้ตัด บรูโน่ แฟร์นันด์ส ออกไปจากเกม ต่างจากการวางหมากของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ที่มักจะมีแค่มิติเดียว  อาศัยความเร็วของแดนหน้า กับความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ "น้าลูกอม" จะต้องพ่ายแพ้ในแมตช์นี้

จะเห็นได้ว่า นาเกิลส์มันน์ นำบทเรียนที่แพ้ยับ "ผีแดง" คาโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด มาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในเกมนี้ เพราะด้วยเงื่อนไขที่พวกเขาต้องชนะ ขณะที่ทีมเยือนแค่เสมอ ทำให้เจ้าตัวเน้นการเพรสซิ่งสูงและไล่บี้จนนำไปสู่การได้ประตูเร็วอย่างที่เห็น

ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีหลายเสียงจาก "โรงละครแห่งความฝัน" ที่อยากจะเห็น นาเกิลส์มันน์ เข้ามาทำหน้าที่วางหมากให้กับทีม แทน โซลชา ซะแล้ว !!!

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »