โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีมชาวนอร์เวย์ เรียกสติลูกทีมกลับมาโชว์ฟอร์มเก่งด้วยการเปิดบ้านเฉือน วัตฟอร์ด 1-0 ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในศึกเอฟเอ คัพ รอบ 3 เมื่อวันเสาร์ที่ 9 มกราคมที่ผ่านมา หลังจากที่พวกเขาเพิ่งผิดหวังจากการตกรอบตัดเชือก เกม คาราบาว คัพ ด้วยน้ำมือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
    แม้ว่าเกมนี้ "ผีแดง" จะจัดผู้เล่นชุดสำรองลงสนามก็ตาม แต่พวกเขายังคงทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่งโดยได้ประตูขึ้นนำตั้งแต่ช่วงต้นเกมจากการโหม่งของ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ หลังจากนั้นแม้ แมนฯ ยูฯ จะยิงประตูเพิ่มไม่ได้ แต่พวกเขายังคงเล่นได้ดี และสามารถประคับประคองสกอร์จนคว้าชัยชนะไปได้สำเร็จ

    ฉะนั้นนี่ถือเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยที่ดีเยี่ยมสำหรับพองเพื่อน "ปีศาจแดง" ก่อนจะกลับไปเล่นในเกมพรีเมียร์ลีก นัดตกค้างพบ เบิร์นลี่ย์ และทำศึกใหญ่กับ ลิเวอร์พูล ในช่วงสุดสัปดาห์หน้า ที่สำคัญหากทั้งสองเกมนี้ แมนฯ ยูฯ เก็บชัยได้หมด ความฝันที่จะเห็นโทรฟี่แชมป์ลีกเริ่มค่อยๆ สดใสขึ้นเรื่อยๆ

1. สืบสานสายเลือด "เร้ด เดวิลส์" ด้วยนักเตะเยาวชน
    การให้โอกาสนักเตะดาวรุ่งจากศูนย์เยาวชนของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นวัฒนธรรมที่สืบสานต่อกันมาหลายทศวรรษ และในยุคที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุมบังเหียนเขาก็ยังคงยึดมั่นแนวทางแบบนี้ไม่มีเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ "ผีแดง" มีสายเลือดใหม่ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของทีมในอนาคต

    สำหรับเกม "น้าลูกอม" จัดการส่งผู้เล่นโฮมโกรว์น (Homegrown) หรือนักเตะที่มาจากอะคาเดมี่ของทีมโดยตรงมากที่สุด ลงสนามตั้งแต่ต้นเกม และบางคนได้เล่นจนจบเกม ถึง 6 คนเลยทีเดียว โดยทั้งหมดนี้ไม่นับรวม มาร์คัส แรชฟอร์ด หรือ ปอล ป็อกบา

    11 ตัวจริงของ "ปีศาจแดง" มีแข้งโฮมโกรว์นได้แก่ ดีน เฮนเดอร์สัน, เบรนดอน วิลเลี่ยมส์, อั๊กเซล ตวนเซเบ้, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์, เจสซี่ ลินการ์ด และ เมสัน กรีนวู้ด โดยทั้งหมดนี้ต้องยกเครดิตให้กับบรรดาโค้ชทุกคนจากอะคาเดมี่ ที่ปลุกปั้นนักเตะเหล่านี้จนก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่

    เฮนเดอร์สัน แม้จะไม่ค่อยได้ออกแรงอะไรมากนักในเกมนี้ แต่เขาก็มีช็อตเด็ดที่โชว์เซฟสำคัญ 2 ครั้ง และแมตช์นี้เจ้าตัวก็ไม่ทำอะไรผิดพลาดเลยที่สำคัญเขาไม่มีอาการประหม่าให้เห็นแม้แต่ครั้งเดียว ขณะที่ กรีนวู้ด แม้จะไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่สุดยอด แต่ก็ทำได้ดีในการเล่นเป็นแนวรุกริมเส้นมากกว่ายืนเป็นหน้าเป้า

    ด้าน วิลเลี่ยมส์ กับ ลินการ์ด แม้ว่าผลงานไม่โดดเด่นอะไรมากนัก แต่ก็ไม่ได้เล่นเสียหายอะไร ส่วน แม็คโทมิเนย์ ต้องบอกว่ายิ่งเล่นยิ่งพัฒนาแถมมีความเป็นผู้นำสูง และยังทำประตูสำคัญได้ตั้งแต่ต้นเกม ส่วน ตวนเซเบ้ มีเกมรับที่เหนียวแน่น และน่าจะพัฒนามากยิ่งขึ้นในอนาคตด้วย

2.  เตลลิส ฟอร์มสุดยอดเกินห้ามใจ
    แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ค่อยมีทีเด็ดมากนักในจังหวะการเล่นลูกเตะมุม แต่เกมกับ วัตฟอร์ด ทำให้สาวก "เร้ด อาร์มี่" รู้สึกตื่นเต้นสุดๆ เมื่อได้เห็นลีลาการเปิดบอลของ อเล็กซ์ เตลลิส เพราะต้องบอกว่า ดาวเตะเลือดแซมบ้า มีลูกเตะมุมที่เฉียบคมและอันตรายมากๆ

    ฟูลแบ็กชาวบราซิเลียน โชว์การจุ๊บบอลก่อนที่เขาจะจัดการปั่นบอลโค้งอย่างเฉียบคมให้กับ แม็คโทมิเนย์ จัดการสะบัดศีรษะส่งบอลเช็ดเสาเข้าประตูอย่างสุดยอด และเกือบจะทำได้แบบเดียวกัน เมื่อเปิดบอลโค้งมาเข้าหัว เอริก ไบยี่ ขึ้นโขกแบบไร้ตัวประกบแต่บอลพุ่งถากเสาสองออกไปแบบได้เสียว

    สำหรับตอนนี้ต้องยอมรับว่าตำแหน่งแบ็กซ้ายภายในทัพ "ปีศาจแดง" มีการแข่งขันอย่างเข้มข้นเพราะมีทั้ง เตลลิส, ลุค ชอว์ และ เบรนดอน วิลเลี่ยมส์ ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นเรื่องดีสำหรับ โซลชา เพราะทำให้เขามีตัวเลือกที่หลากหลายในจัดทีมเวลาที่เจอกับคู่แข่งในแต่ละรูปแบบ

    อย่างไรก็ตามตอนนี้ถ้าลองถามใจสาวก "เร้ด อาร์มี่" แน่นอนว่าพวกเขาอยากเห็น เตลลิส ได้ลงสนามอย่างต่อเนื่อง เพราะฟอร์มของนักเตะรายนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ โดยเฉพาะความสามารถในการเล่นลูกตั้งเตะ ซึ่งถือว่าจะช่วยให้ทีมได้ประโยชน์อย่างมาก 
 
3. ลุ้น ไบยี่ ฟิตทันเกม "แดงเดือด"
    เอริก ไบยี่ กำลังทำผลงานได้อย่างร้อนแรง โดยเขาโชว์ฟอร์มได้แข็งแกร่งมากๆ นับตั้งแต่ที่หายเจ็บกลับมา โดยเกมนี้ โซลชา เลือกให้เขาได้ลงสนามตัวจริง และก็ทำหน้าที่ได้อย่างเหนียวแน่น ทำให้แนวรุกของ วัตฟอร์ด แทบไม่มีโอกาสเข้ามาสร้างความหวาดเสียวได้เลย

    แนวรับทีมชาติไอวอรี่ โคสต์ จับคู่เซนเตอร์แบ็กร่วมกับ อั๊กเซล ตวนเซเบ้ ได้อย่างลงตัวในเกมนี้ แต่น่าเสียดายที่เขาต้องมาประสบพบเจอกับความโชคร้ายเมื่อโดน ดีน เฮนเดอร์สัน ชนเข้าอย่างจังจนร่วงลงไปนอนกับพื้น และส่งผลให้ "น้าลูกอม" จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวออก

    ด้วยฟอร์มที่ยอดเยี่ยมทำให้แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รู้สึกกังวลมากๆ ว่า ไบยี่ อาจจะต้องพักยาว และมีสิทธิ์ที่จะส่งผลกระทบกับเกมรับของทีม เพราะในแมตช์ต่อไป "ผีแดง" มีคิวปะทะ เบิร์นลี่ย์ ในเกมลีกนัดตกค้างซึ่งมีความสำคัญมากๆ เพราะแค่พวกเขาไม่แพ้ ก็จะแซง ลิเวอร์พูล ขึ้นนำเป็นจ่าฝูงทันที

    ยิ่งไปกว่านั้นในวันอาทิตย์ที่ 17 ม.ค. พวกเขามีคิวทำศึก "แดงเดือด" ที่สนามแอนฟิลด์ แน่นอนว่าสาวก "เร้ด อาร์มี่" คงภาวนาให้ ไบยี่ ฟิตสมบรูณ์ เพราะฟอร์มของนักเตะในเวลานี้เหมาะอย่างยิ่งที่จะจับคู่กับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ในการคุมเกมรับแมตช์ปะทะ "หงส์แดง"

4.  ได้เวลา ลินการ์ด คืนสู่สังเวียนผืนหญ้า
    การได้เห็น เจสซี่ ลินการ์ด ลงสนามคงทำให้แฟนพันธุ์แท้แมนฯ ยูไนเต็ด แฮปปี้พอสมควร เพราะนี่คือการคืนสังเวียนหญ้าเขียวขจีครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา โดย โซลชา จับเขาเป็นหนึ่งใน 11 แข้งในเกมรับมือกับ "แตนอาละวาด"

    จริงๆ แล้ว ลินการ์ด แทบจะหมดอนาคตในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ไปแล้ว และนักเตะมักจะมีข่าวออกมาเป็นระลอกว่าเตรียมจะโดนโละทิ้ง แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังคงอยู่กับทีมต่อไป เพื่อรอโอกาสของตัวเอง และวันนี้เจ้าตัวก็ได้รับสิ่งนี้เรียบร้อยแล้ว

    อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าฟอร์มของ ลินการ์ด ไม่ได้แจ่มแจ๋วเหมือนสมัยที่เขากำลังรุ่งๆ อีกต่อไปแล้ว และมีความเป็นไปได้ที่ โซลชา อาจจะรู้สึกได้ว่านักเตะคงจะต้องออกไปสร้างโอกาสในอาชีพใหม่กับสโมสรอื่น เพราะหากทู่ซี้อยู่กับทีมต่อไป ตำแหน่งประจำคงอยู่ที่ซุ้มม้านั่งสำรอง

    ฉะนั้นในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะรอบ 2 เดือนมกราคมนี้ มีความเป็นไปได้ที่ ลินการ์ด อาจจะยอมรับความจริง และเลือกที่จะก้าวออกจากสโมสรอันเป็นที่รักที่เขาอยู่มาตั้งแต่เป็นนักเตะในศูนย์เยาวชนของทีม เพื่อหาโอกาสกลับมาลงสนามอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง

5. สภาพจิตใจแข็งแกร่งแม้เพิ่งผิดหวัง
    หลายคนมองว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจจะมีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่จากการที่พวกเขาต้องพลาดการเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ฟุตบอลถ้วยเป็นครั้งที่ 4 ติดต่อดกันในรอบ 12 เดือน แต่ผลงานในแมตช์นี้ แสดงให้เห็นว่าลูกทีมของ โซลชา สามารถลบความผิดหวังเหล่านั้น และกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

    ชัยชนะในเกมกับ วัตฟอร์ด ถือเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ต่อสภาพจิตใจของเหล่าพลพรรค "ปีศาจแดง" เพราะมันจะทำให้พวกเขากลับมาฮึกเหิมอีกครั้ง ที่สำคัญแมตช์ต่อไปในช่วงกลางสัปดาห์หน้า ที่จะต้องทำศึกกับ เบิร์นลี่ย์ เกมพรีเมียร์ลีก นัดตกค้าง สาวก "เร้ด อาร์มี่" จะได้เห็นทีมรักโชว์ความโหดใส่คู่แข่งอีกครั้งแน่นอน

    เพราะการได้แต้มในเกมกับ เบิร์นลี่ย์ จะทำให้ทีมทำคะแนนแซงหน้า ลิเวอร์พูล ขึ้นไปเป็นจ่าฝูง แต่เชื่อเหอะว่า โซลชา คงไม่มีทางให้ลูกทีมเล่นเพื่อให้ได้แต้มเท่านั้น แต่คงกระตุ้นให้พวกเขาระเบิดฟอร์มไล่ต้อน เบิร์นลี่ย์ อย่างเต็มที่ เพราะถือเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยก่อนเยือน แอนฟิลด์

    ลองคิดดูถ้า แมนฯ ยูฯ เก็บสามแต้มในเกมหน้าได้สำเร็จ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะทำแต้มแซงหน้า "หงส์แดง" ไปก่อน 3 คะแนน และหากเกม "เร้ด วอร์" ทัพ "ผีแดง" สามารถทุบแชมป์เก่าได้อีก ทีมจะทำแต้มหนีไปอีก 6 คะแนน งานนี้ความฝันที่จะได้เห็นถ้วยแชมป์กลับสู่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เริ่มค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ