ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » พรีเมียร์ลีก อังกฤษ » ร่วงไปอยู่ที่ 4 แล้วจ้าาา!! เจาะ 7 ประเด็น ลิเวอร์พูล เสมอ แมนยู ไร้สกอร์

ร่วงไปอยู่ที่ 4 แล้วจ้าาา!! เจาะ 7 ประเด็น ลิเวอร์พูล เสมอ แมนยู ไร้สกอร์

Posted 18/01/2021 by siamsport

ศึก "แดงเดือด" จบลงแบบจืดชืดนิดหน่อยเมื่อ ลิเวอร์พูล ทำได้เพียงแค่เสมอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบไร้สกอร์ที่สนามแอนฟิลด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้ทัพ "หงส์แดง" อาการน่าเป็นห่วงเพราะหล่นไปอยู่อันดับ 4 แล้ว
   
สำหรับเกมนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังคงมีกองหลังพิการเหมือนเดิม ทำให้ต้องจับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ยืนคู่กับ ฟาบินโญ่ ส่วน "ปีศาจแดง" ค่อนข้างฟูลทีม แถมแมตช์นี้่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา จัดผู้เล่นหวังเน้นเกมรับและสวนกลับ ซึ่งก็ได้ผลในช่วงครึ่งหลัง

    ที่สำคัญ "ปีศาจแดง" เกือบจะได้สามคะแนนจากแอนฟิลด์ เพราะพวกเขามีจังหวะโอกาสทองฝั่งเพชรที่ซัดประตูจาก ปอล ป็อกบา กับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส แต่ อลีสซง เบ็คเกอร์ เซฟได้อย่างเหลือเชื่อ ฉะนั้น 1 แต้มในแมตช์นี้อย่างน้อยๆ ก็ทำให้เจ้าบ้านรักษาสถิติไม่แพ้ใครในรังเหย้าต่อไป

1.  ติอาโก้ยิ่งเล่นยิงสำคัญ
ติอาโก้ อัลกันตาร่า มีโอกาสได้สัมผัสสนามแอนฟิลด์ครั้งแรกนับตั้งแต่ย้ายมาเล่นให้ ลิเวอร์พูล โดยในเกม "แดงเดือด" เจ้าตัวทำผลงานได้อย่างโดดเด่นมากๆ และในครึ่งแรกเขาผ่านบอลจังหวะสำคัญให้กับทีมได้หลายต่อหลายครั้ง

ดาวเตะทีมชาติสเปน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเป็นผู้เล่นระดับโลกอย่างแท้จริง ทั้งการผ่านบอลที่แม่นยำ ครองทำหน้าที่คุมจังหวะเกมแดนกลาง แย่งบอลคืนจากคู่แข่งได้อย่างรวดเร็ว และทำหน้าที่เปิดฟรีคิกได้เฉียบคม ทำให้แนวรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องเจอแรงกดดันในจังหวะแบบนี้

กองกลางวัย 29 ปียังคงรักษามาตรฐานในการเล่นช่วงครึ่งหลังได้ดีมากๆ โดยเฉพาะในจังหวะที่ลากบอลหลบ เฟร็ด และโชว์การยิงไกลที่หนักหน่วง แต่น่าเสียดายที่ ดาบิด เด เคอา ไหวตัวทันทำให้พุ่งปัดออกไปได้อย่างหวุดหวิด

สำหรับตอนนี้ ติอาโก้ ยิงเล่นยิ่งดีขึ้นเรื่องๆ และมีส่วนต่อเกมบุกของ ลิเวอร์พูล อย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญหาก คล็อปป์ ตัดสินใจให้อิสระในการเล่นแดนกลางมากยิ่งขึ้น โดยมี จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ทำหน้าที่เป็นโฮลดิ้ง มิดฟิลด์ งานนี้สาวก "เดอะ ค็อป" ได้เห็นอะไรเด็ดๆ จากฝีเกือกของ ติอาโก้ มากกว่านี้แน่นอน

2. อลีสซง ซูเปอร์เซฟช่วยทีมมีแต้ม
ในเกมนี้แม้ว่า ลิเวอร์พูล จะสามารถครองเกมได้เหนือกว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กว่า 65 เปอร์เซนต์ก็ตาม แต่จังหวะในการยิงประตูแทบจะไม่ค่อยมีมากนัก สวนทางกับ "ปีศาจแดง" ที่มี 2 โอกาสทองสำคัญที่น่าจะทำให้พวกเขาคว้า 3 แต้มในแมตช์นี้

1 แต้มสำหรับ "หงส์แดง" ในบ้านอาจจะดูน่าผิดหวัง แต่จริงๆ แล้วพวกเขาเกือบไม่ได้อะไรด้วยซ้ำ ถ้าหากไม่มี อลีสซง เบ็คเกอร์ ยืนเฝ้าเสา เพราะนายทวารทีมชาติบราซิล โชว์ซูเปอร์เซฟที่น่าเหลือเชื่อจากการยิงของ บรูโน่ แฟร์นันด์ส และ ปอล ป็อกบา

จังหวะแรก ลุค ชอว์ หลุดเข้าไปเปิดบอลเลียดให้ บรูโน่ แปเน้นๆ ระยะ 6 หลา แต่ อลีสซง ปฏิกิริยาไวมากใช้เท้าซ้ายสกัดออกไปได้อย่างหวุดหวิด ส่วนอีกจังหวะ อาวอน วาน-บิสซาก้า ผ่านบอล ให้ ป็อกบา ที่ยืนโล่งๆ ในระยะใกล้เคียงกัน และตะบันเต็มเกือกแต่ นายด่านเลือดแซมบ้า ยืนถูกที่ถูกเวลาป้องกันได้อย่างเหลือเชื่อ

ต้องยอมรับว่าแมตช์นี้ ลิเวอร์พูล ได้ 1 แต้มถือว่าน่าพอใจกับสภาพทีมที่ค่อนข้างพิการขนาดนี้ และแน่นอนว่าสาวก "เดอะ ค็อป" ต้องขอบคุณ ผู้รักษาประตูทีมชาติบราซิล ที่ทำให้ทีมสามารถเก็บคลีนชีตได้ แถมยังรักษาสถิติไร้พ่ายในแอนฟิลด์เป็นเกมที่ 68 เกมติดต่อกัน

3. ป็อกบาพัฒนาขึ้นกับบทบาทใหม่
ปอล ป็อกบา อาจจะโดนวิจารณ์อย่างหนักเรื่องฟอร์มการเล่นในช่วงหลายๆ เดือนที่ผ่านมา แถมยังมีข่าวเกี่ยวกับการพยายามย้ายทีม แต่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ยังคงไว้วางใจในฝีเท้าของเขา และตอนนี้ผลแห่งความเชื่อมั่นก็ค่อยๆ ผลิดอกออกผลอย่างต่อเนื่อง

"น้าลูกอม" สามารถดึงศักยภาพที่ยอดเยี่ยมของ ดาวเตะเลือดเฟร้นช์ ออกมาได้เรื่อยๆ โดยเขาจับ ป็อกบา เล่นทั้งมิดฟิลด์ตัวกลาง, โฮลดิ้งมิดฟิลด์ และกองกลางฝั่งซ้ายในฤดูกาลนี้ และล่าสุดก็จัดเจ้าตัวไปเล่นมิดฟิลด์ฝั่งขวาในการดวลกับ ลิเวอร์พูล

สำหรับการตัดสินใจของ โซลชา มีเป้าหมายเพื่อที่จะไม่ให้เกมรุกที่แสดงน่ากลัวทางฝั่งซ้ายของ "หงส์แดง" ได้ทำงานมากนัก เพราะพื้นที่บริเวณนี้มีทั้ง ซาดิโอ มาเน่ กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ซึ่งหากปล่อยให้ทั้งสองคนมีโอกาสเล่นมากเกินไปอาจนำมาสู่หายนะของทัพ "ปีศาจแดง"

นอกจากนี้การจับ ป็อกบา ไปยืนทางขวา ทำให้ นายใหญ่ชาวนอร์เวย์ สามารถจับ เฟร็ด กับ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ยืนอยู่กันตรงกลาง เนื่องจากต้องการเน้นการเล่นปลอดภัย และรอดโอกาสทองเพื่อสวนกลับ

ส่วน ป็อกบา พอได้ยืนถ่างออกไปริมเส้นทำให้เขาสามารถลากบอลตบเข้ากลาง และหาจังหวะเปิดบอลกับสร้างโอกาสในการยิงประตูได้ โดยเฉพาะในช่วงท้ายเกมที่เจ้าตัวได้โอกาสทองซัดระยะไม่ถึง 6 หลา แต่น่าเสียดายที่ อลีสซง ยืนถูกตำแหน่งทำให้เซฟได้อย่างหวุดหวิด

 4. แบ็กโฟร์แมนยูเด่นทั้งรับและรุก
ช่วงต้นฤดูกาลแนวรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องบอกว่าน่าผิดหวังสุดๆ โดยเฉพาะ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ กับ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ แต่ตอนนี้ทั้งสองคนมีพัฒนาที่ยอดเยี่ยม และกลายเป็นหัวใจสำคัญของ "ปีศาจแดง" ไปเรียบร้อยแล้ว

ก่อนแมตช์ "แดงเดือด" มีการคาดการณ์ว่า เอริก ไบยี่ น่าจะได้ยืนตัวจริงกับ แม็กไกวร์ หลังดาวเตะชาวไอวอรี่ โคสต์ ทำผลงานได้ดีเยี่ยมในช่วงที่ผ่านมา แต่งานนี้ "น้าลูกอม" ทำเซอร์ไพรส์เลือก ลินเดอเลิฟ เพราะต้องการความสดของนักเตะมาช่วยหยุดยั้งเกมบุกสุดโหดของเจ้าบ้าน

งานนี้ โซลชา คิดถูกเพราะ ลินเดอเลิฟ เล่นได้เหนียวแน่นมากๆ โดยนักเตะเคลียร์บอลมากถึง 10 ครั้ง ทำให้เกมรุกของ ลิเวอร์พูล แทบไม่ได้เข้ามาทำให้ ดาบิด เด เคอา ต้องออกแรงมากนัก ส่วน แม็กไกวร์ แม้ครึ่งแรกจะมีจังหวะพลาดเปิดบอลไม่ดีแต่เดชะบุญที่ทีมไม่เสียประตู ส่วนช่วงเวลาที่เหลือสามารถรับมือ 3 ประสาน "หิน เหล็ก ไฟ" ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะลูกโด่งเจ้าตัวโหม่งสกัดได้หมด

สำหรับ อารอน วาน-บิสซาก้า งานนี้ขอซูฮกให้กับความเหนียวแน่นในเกมรับเมื่อสามารถจัดการกับ ซาดิโอ มาเน่ ได้อยู่หมัด ส่วนเกมรุกก็เพิ่มพัฒนาขึ้น โดยเฉพาะจังหวะส่งบอลถวายพานให้ ป็อกบา ยิงประตูช่วงท้ายเกมแต่ไม่เข้า

ตบท้ายด้วย ลุค ชอว์ บอกเลยว่านักเตะรายนี้ฟอร์มสุดยอดจริงๆ ทั้งการดวลกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เจ้าตัวก็สามารถรับมือได้ดี ส่วนการเติมเกมรุกที่เป็นเครื่องหมายการค้าของเขาก็ยอดเยี่ยม อย่างจังหวะส่งบอลให้ บรูโน่ ซัดบริเวณกรอบ 6 หลา แต่โดน อลีสซง เซฟได้อย่างเหลือเชื่อ ต้องบอกเลยว่าแมตช์นี้ ชอว์ เด่นมากๆ ทั้งรับและรุก

5. คู่กองกลางที่เล่นได้เข้าขาในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ก !!
ปัญหาเซนเตอร์แบ็กของ ลิเวอร์พูล ยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่องในฤดูกาลนี้ ล่าสุด โฌเอล มาติป ก็ไม่สามารถลงสนามในแมตช์สำคัญได้ ทำให้ คล็อปป์ จำเป็นที่จะต้องตัดสินใจว่าจะใช้งานดาวรุ่งหรือเลือก จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ยืนคู่กับ ฟาบินโญ่

สุดท้ายแล้ว คล็อปป์ เลือกนักเตะที่มีประสบการณ์และเล่นได้แน่นอนอย่าง "เฮนโด้" นั่นหมายความว่า "หงส์แดง" ต้องใช้กองกลางธรรมชาติสองคนมายืนเป็นเซนเตอร์แบ็ก โดยมี ริส วิลเลี่ยมส์ กับ นาธาเนียล ฟิลลิปส์ นั่งสแตนด์บายอยู่ในซุ้มม้านั่งสำรอง

ผลงานของ เฮนเดอร์สัน ในการทำหน้าที่เป็นกองหลังจำเป็นก็ยังคงถือว่าใช้ได้ แต่อาจจะเป็นเพราะ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้เน้นเล่นเกมรุกในแมตช์นี้ทำให้ กัปตันทีม "หงส์แดง" กับ ฟาบินโญ่ ไม่ค่อยเจอกับงานหนักมากนัก

อย่างไรก็ตามหากเลือกได้สาวก "เดอะ ค็อป" คงอยากเห็น เฮนเดอร์สัน ยืนประจำการในแดนกลาง และ มาติป ฟิตสมบูรณ์กลับมาทำหน้าที่ของเขาร่วมกับ ฟาบินโญ่ อย่าลืมว่าหาก "เฮนโด้" ได้เล่นในตำแหน่งตัวเอง นั่นจะทำให้ ติอาโก้ มีอิสระในการเล่นเกมรุกมากยิ่งขึ้นด้วย และจะทำให้ทีมมีมิติการเล่นที่หลากหลายกว่านี้
 
6. แนวรุกทั้งสองทีมไร้ประสิทธิภาพ
หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ศึก "แดงเดือด" ออกมาแนวจืดชืดก็เพราะเกมรุกซึ่งเป็นเครื่องปรุงรสชั้นดีของทั้ง "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล และ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้เลย

เริ่มจากฝั่งทีมเยือน แมตช์นี้ บรูโน่ ต้องบอกว่าฟอร์มดร็อปไปพอสมควร อาจจะเป็นเพราะอาการเหนื่อยล้าจากการกรำศึกหนักอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีจังหวะยิงฟรีคิกเฉียดเสา และซัดบริเวณกรอบ 6 หลาติดเซฟ อลีสซง นอกนั้นเจ้าตัวทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งถือเป็นฟอร์มที่น่าผิดหวังจริงๆ

ส่วน อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล สภาพร่างกายดูเหมือนจะไม่ค่อยฟิต แถมยังถูกจังไปเยือนทางฝั่งซ้าย ทำให้ไม่สามารถงัดศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ขณะที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ผลงานไม่ต่างจาก "น้องหมาก" มีความเร็วแต่ไม่สามารถสร้างประโยชน์ได้ และมักจะตัดสินใจผิดพลาดหลายๆ ครั้งในเกมนี้

ทางฝั่งเจ้าบ้านก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย เริ่มที่ "โม ซาลาห์" ต้องบอกว่านี่เป็นอีกเกมที่น่าผิดหวังสำหรับเขา เพราะเจ้าตัวโดน ชอว์ กับ แม็กไกวร์ จัดการปิดโอกาสทำประตูได้หมด แถมมีจังหวะดีๆ แค่ครั้งเดียวแต่ก็ยิงไปแฉลบขา กัปตันทีม "ผีแดง" นอกนั้นก็ไม่มีอะไรน่าจดจำ

ด้าน โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ในช่วงครั้งแรกมีโอกาสปั่นป่วนเกมรับทีมเยือน แต่ก็ไม่มีทีเด็ดอะไรมากนัก ทำได้ดีที่สุดแค่คอยเชื่อมเกมเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นไม่มีอะไรให้พูดถึง สำหรับ ซาดิโอ มาเน่ พยายามใช้ความเร็วและความสามารถเฉพาะตัวเพื่อทำลายริมเส้นของ แมนฯ ยูฯ แต่โดน วาน-บิสซาก้า จัดการกินเรียบวุธ

ฉะนั้นคงไม่ต้องมองหาแล้วว่าตำแหน่งไหนที่ทำผลงานได้น่าผิดหวังที่สุดในศึก "เร้ด วอร์" ครั้งนี้

7. สถานการณ์ป้องกันแชมป์ลิเวอร์พูลน่าเป็นห่วง
ผลเสมอในเกมนี้ไม่ใช่แค่ "หงส์แดง" ตามหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด เท่านั้น แต่พวกเขายังร่วงไปอยู่อันดับ 4 โดยโดนทั้ง "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ "สุนัขจิ้งจอก" เลสเตอรื ซิตี้ แซงหน้าไปเรียบร้อยโรงเรียนพรีเมียร์ลีกแล้ว

แม้ว่าในเกม "แดงเดือด" จะไม่มีดราม่าให้พูดถึงมากนัก แต่ผลเสมอส่งผลเสียหายในระดับนึงสำหรับ ลิเวอร์พูล เพราะทำให้การป้องกันแชมป์ลีกของพวกเขาต้องเจอกันแรงกดดันมากยิ่งขึ้นจากที่ต้องหล่นจากบัลลงก์มาอยู่ถึงอันดับ 4

ยังไม่หมดแค่นั้นเพราะอันดับ 5 อย่าง สเปอร์ส ก็มีแต้มตามหลังแชมป์เก่าเพียงแค่ 1 คะแนนเท่านั้น ส่วน เอฟเวอร์ตัน เพื่อนบ้านที่แสนรักตามหลัง 2 แต้มแต่แข่งน้อยกว่า 1 นัด งานนี้บอกเลยว่าสาวก "เดอะ ค็อป" ต้องมีเสียวสันหลังกันพอสมควร

ตอนนี้เกมลีกผ่านมา 18แมตช์ ถ้าหาก คล็อปป์ ไม่สามารถกระตุ้นฟอร์มเก่งของ ลิเวอร์พูล กลับมาให้ได้โดยเร็วที่สุด งานนี้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่พวกเขาคงจะต้องเจอกับสถานการณ์ที่ล่อแหลมจนถึงขั้นอาจหลุดท็อปโฟร์ก็ได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
  • ติอาโก้โชว์คลาสบอล! ตัดเกรดแข้งลิเวอร์พูลเจ๊าแมนยูยกแรกแดงเดือด
    ศึกแดงเดือดยกแรกของฤดูกาลนี้จบลงด้วยผลเสมอแบบไร้สกอร์ที่แอนฟิลด์ แม้ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะเป็นฝ่ายครองบอลมากกว่าแต่ไม่สามารถเจาะตาข่ายเกมรับที่แน่นหนาของ "ผีแดง" อย่างไรก็ตามยังมีแข้ง "หงส์แดง" ที่ทำผลงานโดดเด่นไม่ว่าจะเป็นกองกลางและกองหลัง นี่คือคะแนนของนักเตะลิเวอร์พูลแต่ละคนในเกมนี้
  • ชอว์-แม็กไกวร์เอาอยู่! ตัดเกรดแข้งแมนยูบุกยันเจ๊าลิเวอร์พูลแดงเดือด
    แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถบุกยันเสมอ ลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์ได้สำเร็จในศึกแดงเดือดยกแรกของฤดูกาลนี้ โดยทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา มาเน้นตั้งรับเป็นหลักและอาศัยจังหวะโต้กลับเพื่อทำเกมบุก เพราะฉะนั้นผู้เล่นในแนวรับจึงโดดเด่นและได้คะแนนดีกันถ้วนหน้า ส่วนแนวรุกมีพลาดโอกาสทองฝัง "หงส์แดง" อยู่หลายครั้ง และนี่คือผลสอบของแข้ง แมนฯ​ ยูไนเต็ด แต่ละคนในเกมนี้
  • แมนยูเหนียวยึดฝูงต่อ! ลิเวอร์พูลเจาะไม่เข้าแค่เจ๊าส่อโดนเรือแซงร่วงที่4
    "หงส์แดง" เจาะแนวรับ "ผีแดง" ไม่เข้าเสมอกันไปแบบไร้สกอร์ 0-0 ส่งผลให้ แมนฯยูไนเต็ด มีเพิ่มอีกหนึ่งคะแนนเป็น 37 แต้มรั้งจ่าฝูงต่อ ส่วน ลิเวอร์พูล ไม่ชนะในเกมลีกนัดที่ 4 ติดต่อกันรั้งอันดับ 3 มี 34 คะแนน และหากคู่ดึก "เรือใบสีฟ้า" เก็บสามแต้มได้จะทำให้พวกเขาหล่นไปรั้งอันดับ 4 ทันที ในเกมแดงเดือด พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
  • ปัจจัยสำคัญเกมรับวันแดงเดือด! ตัวเลขน่าสนของฟาบินโญ่-ไบยี่
    ศึกแดงเดือดที่สมรภูมิ แอนฟิลด์ ในวันอาทิตย์ที่ 17 มกราคมนี้ถือเป็นเวอร์ชั่นที่ได้รับความสนใจมากกว่าเกมแดงเดือดในช่วงหลายนัดที่ผ่านมา เพราะมันไม่ได้เป็นเพียงการเจอกันของ 2 คู่อริที่ดุเดือดที่สุดคู่หนึ่งแห่งวงการลูกหนังอังกฤษเท่านั้น แต่มันยังเป็นเกมที่มีตำแหน่งจ่าฝูง (และอาจจะรวมถึงแชมป์ในบั้นปลาย) เป็นเดิมพันด้วย

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »