ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » พรีเมียร์ลีก อังกฤษ » ไร้สัญชาตญาญนักฆ่า, ขาดจอมทัพ, แข้งสำคัญไม่มี ! เจาะวิกฤติ ลิเวอร์พูล อาการโคม่า

ไร้สัญชาตญาญนักฆ่า, ขาดจอมทัพ, แข้งสำคัญไม่มี ! เจาะวิกฤติ ลิเวอร์พูล อาการโคม่า

Posted 19/01/2021 by siamsport

สาวก "เดอะ ค็อป" คงนั่งเกาหัวไม่เข้าใจโลก เพราะฟอร์มของ ลิเวอร์พูล อยู่ดีๆ ก็ร่วงกราวรูดจนน่าใจหาย จากทีมที่ไล่ต้อนคู่แข่งเป็นว่าเล่นเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ขณะที่ในช่วงต้นซีซั่นนี้ แม้จะมีปัญหานักเตะบาดเจ็บผลงานก็ยังดี แต่แล้วอยู่ดีๆ เครื่องก็ชอตไปซะดื้อๆ หลังสิ้นเสียงนกหวีดในเกมถล่ม คริสตัล พาเลซ

ผลงานที่ไม่สามารถสะกดคำว่าชัยชนะได้เลยในเกมพรีเมียร์ลีก 4 แมตช์ติดต่อกัน โดยที่ยิงประตูไม่ได้เลย 3 เกมรวด ถือว่าเข้าขั้นวิกฤติสำหรับ "หงส์แดง" ในการป้องกันแชมป์ลีก เพราะด้วยฟอร์มแบบนี้ส่งผลให้พวกเขาหล่นไปอยู่อันดับ 4 แล้ว ขนาด เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมยังยอมรับว่าตอนนี้เป้าหมายหลักเปลี่ยนจากลุ้นแชมป์ เป็นติดท็อปโฟร์แทน

พวกเขากลายเป็นทีมที่ไร้จินตนาการในการสร้างโอกาสทำประตู จบสกอร์ไม่เป็น และที่น่าเป็นห่วงก็คือพละกำลังกับแรงกระตุ้นภายในทีมแทบไม่มีเลย นั่นแสดงให้เห็นว่ามีบางสิ่งที่ไม่เข้าทางเกิดขึ้นภายในทัพ "หงส์แดง" ซึ่งส่วนหนึ่งก็คือเรื่องอาการบาดเจ็บของนักเตะหลัก และอีกส่วนก็เรื่องสภาพจิตใจ

ขณะที่ 3 ประสาน โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ ที่หลายๆ ทีมกลัวนักกลัวหนา แต่สภาพของพวกเขาในเวลานี้ไร้ประสิทธิภาพซะเหลือเกิน ขณะที่ 3 แข้งในแผงมิดฟิลด์ก็ขาดการสร้างสรรค์เกม

ในเวลานี้ คล็อปป์ จำเป็นต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อให้ทีมกลับมาอยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุดอีกครั้ง ด้วยเพราะโปรแกรมต่อจากนี้ค่อนข้างหนัก หากยังเล่นได้แค่นี้ มีหวังอันดับจะหล่นไปไกลกว่านี้แหงๆ

สามประสานปืดฝืดไร้ความคม

โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ สร้างผลงานดีมีคุณภาพทั้งในยุโรป และในพรีเมียร์ลีก โดยฟอร์มการเล่นของพวกเขาทำให้แนวรับคู่แข่งต้องหวาดผวา เพราะมีโอกาสที่พวกเขาจะโดน 3 ประสาน "หิน เหล็ก ไฟ" กระซวกไส้แตกแต่นอน

อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ที่ "หงส์แดง" ไล่ถล่ม คริสตัล พาเลซ 7-0 เกมลีกฤดูกาลนี้ หลังจากนั้นดูเหมือนว่าเกิดความผิดปกติกับฟอร์มการเล่นของทั้ง 3 คน มันราวกันว่าพวกเขาเล่นไม่สัมพันธ์กันเหมือนกับต่างคนต่างไม่รู้จักกันเลย

การประสานงานที่เคยลื่นไหลตอนนี้ไม่มีเหลืออีกแล้ว สัญชาตญาณในการเล่นที่ทั้งสามคนแค่มองตารู้ใจก็ไม่มีให้เห็น เพราะเวลาที่พวกเขาต่อบอลกันส่วนใหญ่ก็ขาดๆ เกินๆ หรือบางครั้งอาจจะส่งบอลไปคนละทิศคนละทางเหมือนไม่ได้ซ้อมด้วยกัน

ในเกม "แดงเดือด" จะเห็นได้ชัดว่า ซาลาห์ ต้องพบกับความยากลำบากในการเลี้ยงบอลผ่าน ลุค ชอว์ โดยเฉพาะในครึ่งหลัง ทั้งๆ ที่เขาเคยเป็นนักเตะที่สามารถปราบคู่แข่งได้อย่างสบายๆ ในการดวลแบบตัวต่อตัว แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว และบ่อยครั้ง "บังโม" รู้ว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้ก็มักจะเลือกส่งคืนหลังให้ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

สำหรับ ฟีร์มีโน่ ตอนนี้สภาพของเขาไม่เหมาะกับการทำหน้าที่เป็นผู้เล่นหมายเลข 9 หรือหน้าเป้าอีกแล้ว เพราะนักเตะยิงประตูไม่เฉียบคม ใช้โอกาสฟุ่มเฟือย แต่จุดด้อยของสตาร์ชาวบราซิเลียนมักจะถูกมองข้ามเนื่องจากเขามีความสำคัญกับระบบการเล่นของ คล็อปป์ ในเกมกับ แมนฯ ยูฯ เจ้าตัวมีโอกาสพอสมควรที่จะยิงประตู แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันกับโอกาสที่มี

ตบท้ายกับ มาเน่ แม้ว่าจะได้รับคำชมในเกมเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่หากมองภาพรวมแล้วเขาก็ไม่ต่างอะไรกับ ฟีร์มีโน่ และ ซาลาห์ ที่มักจะตัดสินใจผิดพลาดเมื่อเข้าไปอยู่ในพื้นที่สุดท้าย และบทสรุปก็คือก็ไร้ประสิทธิภาพในการจบสกอร์

จริงๆ แล้วหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ "หงส์แดง" มีเกมรุกที่ฝืดสุดๆ ก็คือการขาดหายไปของ ดีโอโก้ โชต้า ซึ่งฟอร์มร้อนแรงมากๆ ในช่วงต้นฤดูกาลนี้ แต่น่าเสียที่นักเตะได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าทำให้ต้องพักรักษาตัวนานหลายเดือน ส่วนกำลังสำรองอย่าง ทาคุมิ มินามิโนะ กับ ดีว็อก โอริก้า ยังไม่สามารถพึ่งพาได้

การที่ทีมมีสิถิติลงแข่ง 3 นัดล่าสุด และยิงคู่แข่งไม่ได้เลย ถือเป็นสถานการณ์วิกฤติมากๆ ฉะนั้นหาก โชต้า กลับมาฟิตสมบูรณ์และลงสนามช่วยทีมได้ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ คงทำให้ คล็อปป์ โล่งใจได้เลยทีเดียว
 
ขาดผู้เล่นคีย์แมนหลังโดนโรคเดี้ยงเล่นงาน

โอกาสในการป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกของ ลิเวอร์พูล เริ่มออกอาการสะดุดตั้งแต่เดือนตุลาคม เมื่อ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ เซนเตอร์แบ็กจอมแกร่งได้รับบาดเจ็บหนักที่หัวเข่า จนมีแววว่าจะต้องพักฟื้นร่างกายตลอดช่วงที่เหลืออยู่ของฤดูกาลนี้

การขาดหายไปของ ฟาน ไดค์ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่เสียหายมากๆ เพราะดาวเตะชาวดัตช์มีส่วนสำคัญต่อเกมรับและรุกของ "เดอะ เร้ดส์" โดยเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาเขามีสถิติในการผ่านบอลเข้าไปในพื้นที่สุดท้ายของคู่แข่งได้หลายครั้ง ที่สำคัญเวลาที่แย่งบอลได้ ฟาน ไดค์ จะเปิดบอลเร็วให้ ซาลาห์ กับ มาเน่ ใช้สปีดเร็วกว่านรกเล่นงานคู่แข่งแต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีเห็นในปัจจุบัน

หลังจากเสีย ฟาน ไดค์ ไปแค่เดือนเดียว จากนั้นทีมก็ต้องเจอข่าวร้ายเมื่อ โจ โกเมซ ได้รับบาดเจ็บหนักในช่วงเดินทางไปรับใช้ทีมชาติอังกฤษ ดังนั้น คล็อปป์ จำเป็นต้องหาคู่หูเกมรับมาช่วยงาน โฌเอล มาติป แต่น่าเสียดายที่พวกเขาขาย เดยัน ลอฟเรน ไปแล้วช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ทำให้ทีมจำเป็นต้องหากองหลังขัดตาทัพ

งานนี้หวยก็เลยไปออกที่ ฟาบินโญ่ กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน สองกองกลางประสบการณ์สูง ส่วน รีส วิลเลี่ยมส์ และ นาธาเนียล ฟิลลิปส์ คอยทำหน้าที่เป็นยางอะไหล่ แต่เอาเข้าจริงๆ เกมรับไม่ใช่ปัญหาของทีมในเวลานี้ เพราะสถิติเห็นได้ชัดว่าในยามที่ทีมไม่มี ฟาน ไดค์ 13 แมตช์ พวกเขาชนะ 6 เสมอ 6 และแพ 1 เกมเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ฟาน ไดค์ ถือเป็นคีย์แมนสำคัญของทีม การขาดเขาทำให้ "เดอะ เร้ดส์" ไม่มีทีเด็ดทั้งในเกมรับและรุก เช่นเดียวกับการที่ทีมไร้ โชต้า ส่งผลให้ลิเวอร์พูล ขาดมิติในเกมบุก และทำให้คู่แข่งจับทางได้ง่าย ส่วนในรายของ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ต้องบอกว่าโชคร้ายสุดๆ ที่พลาดลงสนามหลายเกมทั้งติดโควิด-19 และได้รับบาดเจ็บหนักในเกมด้วยกับ ฟาน ไดค์

บางแมตช์ ลิเวอร์พูล เจอปัญหาบาดเจ็บรุมเร้า เพราะ อลีสซง เบ็คเกอร์ ก็เคยโดนอาการเดี้ยงทำให้พลาดลงเฝ้าเสา รวมไปถึง นาบี เกอิต้า ที่ใช้เวลาอยู่ในโรงหมอมากกว่าสนามซ้อม แน่นอนว่านักเตะเหล่านี้มีความสำคัญกับทีมมากๆ และการที่พวกเขาพลาดลงสนาม ทำให้การจัดวางแท็กติกของ คล็อปป์ มีปัญหา
 
ฟูลแบ็กไม่ได้อยู่ในฟอร์มสุดยอด

ช่วงเวลานี้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้มีแค่สามประสานด้านหน้าที่ต้องประสบปัญหาฟอร์มรูดมหาราชเท่านั้น แต่ทั้ง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ก็ไม่ได้อยู่ในฟอร์มฟูลแบ็กจอมแอสซิสต์อีกต่อไปแล้ว

ต้องยอมรับว่า 2-3 ฤดูกาลที่ผ่านมา "เจ้าหนูเทรนต์" กับ "ร็อบโบ้" มีส่วนสำคัญในเกมรุกของ "หงส์แดง" มากๆ โดยทั้งสองคนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเพลย์เมกเกอร์ของทีมก็ว่าได้ เพราะสร้างโอกาสในการทำประตูได้เยอะมาก โดยเฉพาะจังหวะการเปิดบอลจากริมเส้นที่บอกเลยว่าคมกริบสุดๆ

โรเบิร์ตสัน และ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ มักจะวิ่งเติมเกมบุกตลอด ที่สำคัญจังหวะในการเปิดบอลยาวของทั้งคู่มีความแม่นยำสูงมาก หลายๆ ต่อหลายครั้งที่พวกเขามักจะใช้ศักยภาพในเรื่องการวางบอลสร้างประโยชน์ให้กับ "หงส์แดง" ได้ตลอด

อย่างไรก็ตามตอนนี้พลังขับเคลื่อนเกมบุกของ ดาวเตะเลือดวิสกี้ กับฟูลแบ็กทีมชาติอังกฤษ แทบไม่มีเหลือเลย การเปิดบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษก็ไม่มีความน่ากลั;เหมือนแต่ก่อน ส่วนการเล่นลูกตั้งแต่ทั้งสองคนก็เปิดบอลไม่แม่นยำ

กระนั้นสิ่งที่พอจะอุ่นใจได้บ้างก็คือในเรื่องของเกมรับ โรเบิร์ตสัน ทำได้ดีเวลาที่ลงไปช่วยทีม ส่วน อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แม้จะมีจังหวะโฉ่งฉางอยู่บ้าง แต่เจ้าตัวก็ค่อยๆ พยายามที่จะปรับปรุงแก้ไขจุดบกพร่องในเรื่องนี้
 
ไม่มีกองกลางจอมปั้นเกม

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นทีมที่อันตรายมากๆ เพราะไม่ใช่แค่พวกเขามีเกมรุกที่ดุดันเท่านั้น แต่ "เรือใบสีฟ้า" ยังมีนักเตะชั้นยอดอย่าง เควิน เดอ บรอนย์, อิลคาย กุนโดนกัน และ แบร์นาร์โด้ ซิลวา ที่คอยทำหน้าที่ปั้นเกมในแดนกลางด้วย

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีตัวเลือกทั้งในแดนหลัง, กองหน้า และกองกลางที่คอยแอสซิสต์ให้ทีม ในขณะที่ คล็อปป์ ไม่มีนักเตะแบบนั้นเลย ในรายของ ติอาโก้ อัลกันตาร่า แม้จะทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในเกมกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ตาม แต่เขายังทำแอสซิสต์ไม่ได้เลยในเกมลีกนับตั้งแต่ที่ย้ายจาก บาเยิร์น มิวนิค มาอยู่ในถิ่นแอนฟิลด์

จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม ส่วนใหญ่แล้วมักจะทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมเกม ไม่ค่อยมีทีเด็ดอะไรมากนักในการสร้างโอกาสให้กับแนวรุก และมักจะเน้นการเล่นแบบปลอดภัยไว้ก่อน ขณะที่ เซอร์ดาน ชากีรี่ สามารถเล่นได้ทั้งตรงกลาง และปีกขวา แต่น่าเสียดายที่สภาพร่างกายเป็นอุปสรรคสำคัญทำให้เจ้าตัวฟอร์มไม่โหดเหมือนเมื่อหลายปีก่อน

ส่วน เกอิต้า สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ว่าเป็นกองกลางจอมสร้างสรรค์เกมให้กับ "หงส์แดง" แต่ด้วยอาการบาดเจ็บเรื้อรังทำให้เขาขาดการลงสนามอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้จังหวะการเล่นยังไม่แน่นอน ด้าน อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ยังคงต้องเดินหน้าเรียกความฟิตต่อไป ส่วน เคอร์ติส โจนส์ ต้องพัฒนาอีกเยอะ

ในกรณีของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ ฟาบินโญ่ ที่ต้องถูกจับไปเล่นตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กจำเป็น แต่หากพวกเขาได้กลับมาเล่นในตำแหน่งกองกลางเหมือนเดิม แน่นอนว่าแผงมิดฟิลด์ของ "เดอะ เร้ดส์" จะน่ากลัวยิ่งขึ้น

แน่นอนว่า ลิเวอร์พูล มีนักเตะที่วิ่งไม่หยุด สามารถครองเกมได้ตลอด ไล่กดดันคู่แข่งจนโงหัวไม่ขึ้น และแย่งบอลกลับมาเร็วเพื่อที่จะเปิดเกมบุกได้ทันที รวมทั้งไล่บดขยี้คู่แข่งขันจนปั่นป่วน แต่ตอนนี้ คล็อปป์ ต้องการมากกว่านั้น ซึ่งก็คือผู้เล่นจอมทัพ !!
 
โปรแกรมสุดหินที่อาจทำหงส์ย่ำแย่

ตอนนี้ไม่มีเวลาให้ ลิเวอร์พูล ทำพลาดอีกแล้ว ทั้งฟอร์มการเล่นและผลการแข่งขันจำเป็นต้องที่พวกเขาต้องทำให้ดีที่สุดโดยเร็วพลัน หากไม่สามารถทำได้งานนี้โอกาสที่ "หงส์แดง" จะหลุดวงโคจรการลุ้นแชมป์ หรืออันดับท็อปโฟร์ภายในเวลาแค่เดือนเดียว

ในเกมลีกนัดต่อไปพวกเขามีคิดเปิดบ้านรับมือ เบิร์นลี่ย์ ซึ่งเป็นทีมที่ปฏิเสธ "เดอะ เร้ดส์" ทำสถิติชนะรวด 100 เปอร์เซนต์ในแอนฟิลด์ เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ในวันพฤหัสบดีนี้ ก่อนที่จะต้องยกพลไปเยือน แมนฯ ยูไนเต็ด ในศึกเอฟเอ คัพ ช่วงสุดสัปดาห์

หลังจากนั้นก็ต้องปะทะกับ "ไก่เดือยทอง" ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, "ขุนค้อน" เวสต์แฮม์ ยูไนเต็ด, "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้, "สุนัขจิ้งจอก" เลสเตอร์ ซิตี้ และ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" เอฟเวอร์ตัน ในเกมพรีเมียร์ลีก ซึ่งทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นภายในวันที่ 20 กุมภาพันธ์

ทั้ง สเปอร์ส, แมนฯ ซิตี้, เลสเตอร์ และ เอฟเวอร์ตัน ทั้งหมดนี้ยังมีลุ้นทั้งแชมป์ลีก และท็อปโฟร์ ที่สำคัญ "เดอะ เร้ดส์" ดันมาเจอเกมแซนด์วิชโหดเมื่อต้องไปเยือน "เดอะ ฟ็อกซ์" และทำศึกเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ จากนั้นก็ฟาดแข้งกับ แอร์เบ ไลป์ซิก ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก

ฉะนั้น คล็อปป์ ต้องรีบกระตุ้นลูกทีมให้ตั้งสติกลับมาสตาร์ทฟอร์มโหดเป็นการด่วนก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ไข

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »