แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถกลับมาทวงบัลลังก์จ่าฝูงคืนได้ทันควัน หลังจากที่โดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ เลสเตอร์ ซิตี้ ผลัดกันได้เชยชมตำแหน่งนี้ในเวลาไม่นาน และงานนี้ทำให้การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ สนุกเข้มข้นเร้าใจมากยิ่งขึ้น
"ปีศาจแดง" ทำให้สาวก "เร้ด อาร์มี่" ใจหายใจคว่ำเมื่อโดน ฟูแล่ม ยิงนำไปก่อน 0-1 แต่ก็เหมือนหลายๆ เกมเยือนของพวกเขาที่มักจะโดนลูบคมไปก่อน เพราะหลังจากนั้นทีมของกุนซือโอเล่ กุนนาร์ โซลชา ก็จัดการทวงคืนทั้งต้นและดอก ส่งผลให้เก็บชัยชนะไปได้อย่างหวุดหวิด

 ตอนนี้ผ่านไปแล้ว 19 เกม หรือครึ่งทางของลีก แมนฯ ยูไนเต็ด นำ เป็นจ่าฝูง แต่สถานการณ์ก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก เพราะ "เรือใบสีฟ้า" ทำแต้มตามหลังแค่ 2 คะแนน แต่แข้งน้อยกว่า 1 แมตช์ ส่วน เลสเตอร์ ก็ตามหลัง 2 แต้ม และฟอร์มก็กำลังดีวันดีคืน

 ส่วน ลิเวอร์พูล ยังไม่รู้ว่าจะตามหลัง 3 แต้ม, 5 แต้ม หรือ 6 แต้ม ต้องรอลุ้นในเกมรับมือ เบิร์นลี่ย์ วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคมนี้ !!!

1. นับวัน บรูโน่ ยิ่งสำคัญกับแมนฯ ยูไนเต็ด

    บรูโน่ แฟร์นันด์ส  กลายเป็นศูนย์กลางของการเล่นเกมบุก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปแล้วและนักเตะสามารถสร้างความมหัศจรรย์ได้เลย โดยเฉพาะในยามที่ลงสนามเจอคู่แข่งที่ไม่ค่อยแข็งแกร่งมากนัก และนี่ก็เป็นอีกแมตช์ที่ ดาวเตะเลือดฝอยทอง แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาสำคัญกับ "ผีแดง" มากแค่ไหน

    จอมทัพทีมชาติโปรตุเกส ลงสนามในสีเสื้อ "เร้ด เดวิลส์" ไปแล้ว 50 เกมในทุกรายการ โดยในแมตช์ล่าสุดเขาโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น โดยเฉพาะเกมเล่นเกมรุก และยังมีส่วนกับประตูตีเสมอของ เอดินสัน คาวานี่ ด้วย

    จังหวะนั้น บรูโน่ มีโอกาสได้ยิงบริเวณกรอบเขตโทษ แต่ดันแม่นไปหน่อยบอลพุ่งชนเสาเต็มลูก โดยแนวรับเจ้าบ้านเคลียร์ไม่ขาด ถูก แมนฯยูไนเต็ด เก็บบอลได้ก่อน เฟร็ด ชิ่งให้ บรูโน่ ครอสบอลเข้ามาในกรอบ 6 หลา อัลฟงส์ อเรโอล่า ตัดสินใจพลาดพยายามตะปบบอลแต่กลายเป็นห่างตัวไปเข้าทาง คาวานี่ ซัดไม่เหลือซาก

    ยังไม่หมดแค่นั้น บรูโน่ ยังสามารถขู่เกมรับของ ฟูแล่ม ได้ตลอดทั้งในครึ่งแรก และครึ่งหลัง ที่สำคัญเขายังเกือบยิงประตูได้ด้วย ฉะนั้นต้องยอมรับว่าผลงานของ ดาวเตะชาวโปรตุกีส ยังคงฝากผีฝากไข้สำหรับทัพ "ปีศาจแดง" จริงๆ

    ตอนนี้ บรูโน่ ซัดไปแล้ว 27 ประตู และทำ 18 แอสซิสต์ จากการลงเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ถึง 12 เดือน หลังจากที่เขาเซ็นสัญญาย้ายจาก สปอร์ติ้้ง ลิสบอน มาอยู่ในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ช่วงปลายเดือนม.ค.ปีที่แล้ว ดังนั้นต้องยอมรับว่าเขาคือผู้เล่นสำคัญของ "เร้ด เดวิลส์" ที่ขาดไม่ได้จริงๆ

2. "เอล มาทาดอร์" ยังคงคมกริบเหมือนเดิม

    ตอนนี้ เอดินสัน คาวานี่ เซ็นสัญญากับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก่อนตลาดพ่อค้าแข้งจะปิดตัวไม่กี่ชั่วโมง ทำให้หลายคนมองว่า โซลชา ไมได้ต้องการนักเตะรายนี้มาร่วมทีม เพราะหากเขาอยากได้จริงๆ คงจะรีบยื่นข้อเสนอไปตั้งนาน เพราะเจ้าตัวเป็นแข้งฟรีเอเจนต์ ไม่ใช่ต้องมารอจนวันสุดท้าย

    สำหรับตอนนี้ คาวานี่ พิสูจน์ ให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นกองหน้าที่ "ปีศาจแดง" ต้องการ ด้วยประสบการณ์ และศักยภาพในการยิงประตูโดยเฉพาะในกรอบเขตโทษ เป็นการแสดงให้เห็น "เอล มาทาดอร์" คือหน้าเป้าที่ แมนฯ ยูฯ รอคอยมานาน

    ในเกมนี้ คาวานี่ แสดงให้เห็นถึงการจังหวะในกาเคลื่อนที่หาตำแหน่งได้อย่างชาญฉลาด และเขายังยืนถูกที่ถูกเวลาเพื่อที่จะฉกฉวยโอกาสในการทำประตู ซึ่งจังหวะที่ตีเสมอ เป็นการยิงประตูในแบบฉบับที่ "น้าลูกอม" มักจะทำได้เป็นประจำสมัยเป็นพ่อค้าแข้ง

    นอกจากนี้ หัวหอกจอมเก๋าชาวอุรุกวัย ยังเล่นด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเทซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ในการช่วยให้ทีมกลับมาสู่เกมอีกครั้งหลังจากที่โดนยิงนำตั้งแต่ไก่โห่ โดยเขาพยายามวิ่งเพรสซิ่ง และไล่กดดันนักเตะฟูแล่มตั้งแต่แดนหน้า จนทำให้ "เจ้าสัวน้อย" เจอสถานการณ์ยากลำบากในการขึ้นเกม

    ถ้าหาก แมนฯ ยูไนเต็ด สามารถพัฒนาในเรื่องเกมบุกให้เฉียบคมมากกว่านี้ แน่นอนว่า คาวานี่ คงจะได้โอกาสในการยิงประตูมากขึ้น

3. ฟอร์ม ป็อกบา กลับมาสุดยอดอย่างต่อเนื่อง

    ช่วงที่ผ่านมา โซลชา จับ ปอล ป็อกบา ลงเล่นหลายตำแหน่งในแดนกลาง อย่างเช่นในเกม "แดงเดือด" เขาถูกจับโยกไปเล่นทางฝั่งขวา สำหรับในเยือน ฟูแล่ม "น้าลูกอม" เลือกที่จะให้ สตาร์ลูกหนังชาวฝรั่งเศส ทำหน้าที่เป็นโฮลดิ้ง มิดฟิลด์

    เกมนี้ ดาเวตะเลือดเฟร้นช์ มี เฟร็ด เป็นคู่แข่งแดนกลาง และทั้งสองคนก็ทำหน้าที่สอดประสานกันได้อย่างลงตัวในเกมเยือนคราเว่น ค็อทเทจ โดยเฉพาะ ป็อกบา ที่โชว์ฟอร์มได้เด็ดดวงเหลือเกินในการขับเคลื่อนเกมบุก และคอยเชื่อมเกมได้อย่างไหลลื่น

    ต้องยอมรับว่า ป็อกบา เล่นได้อย่างลงตัวกับ บรูโน่ และ เฟร็ด เขามีโอกาสที่จะสร้างสรรค์เกมได้ตลอด ที่สำคัญในจังหวะที่จบสกอร์ 2-1 ต้องขอซูฮกว่านี่คือศักยภาพที่แท้จริงของนักเตะ ทั้งความฉลาดในการเล่น และการยิงประตูที่เฉียบคม

    ตอนนี้ ป็อกบาก ซัดไปแล้ว 5 ประตูในฤดูกาล 2020/2021 เทียบเท่ากับ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล และ คาวานี่ ฉะนั้นคงต้องบอกว่าผลงานของ มิดฟิลด์แชมป์โลก ในเวลานี้นับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ และต้องยกเครดิตให้กับ โซลชา ที่ดึงศักยภาพของเขาออกมาได้อย่างเต็มที่

4. คำว่ายอมแพ้ไม่เคยอยู่ในพจนานุกรมพลพรรค "ปีศาจแดง"

    สำหรับการเล่นทีมเยือน แน่นอนว่าในฤดูกาลนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำผลงานในฐานะอาคันตุกะได้อย่างโดดเด่น และสมบูรณ์แบบมากๆ พวกเขาไม่แพ้ใครเลย 10 เกมลีกติดต่อกัน และยังเก็บชัยชนะไปถึง 8 แมตช์เลยทีเดียว

    นอกจากนี้อีกหนึ่งผลงานที่ต้องยกย่องทีมของโซลชาก็คือการที่พวกเขาไม่เคยยอมแพ้แม้จะโดนยิงประตูขึ้นนำไปก่อน และสิ่งนี้แสดงให้เห็นอีกครั้งในเกมเยือน ฟูแล่ม หลังจากที่ถูกเจ้าบ้านซัดไปก่อน 1-0 แต่ทัพ "ปีศาจแดง" ก็ฟื้นคืนชีพยิงคืน 2 ลูก คว้าสามแต้มสำคัญได้สำเร็จ

    ต้องบอกเลยว่านี่คือหนึ่งในจุดเด่นของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่แฟนบอลทั่วโลกไม่ได้เห็นมานานนับตั้งแต่สิ้นยุคเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และตอนนี้ กุนซือชาวนอร์เวย์ ได้สานต่อปรัชญาการเล่นฟุตบอลในแบบฉบับ "ผีแดง" ตามที่ปรมาจารย์ของเขาได้สั่งสอนมาตั้งแต่สมัยที่ยังได้รับฉายา "เพชฌฆาตหน้าทารก"

    จริงๆ แล้วผลงานของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมพรีเมียร์ลีก ไม่ใช่แค่ดีเฉพาะนอกบ้าน เกมในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก็พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัดโดยไม่แพ้ใคร 5 เกมติดต่อกัน ทำให้ตอนนี้ทั้งเกมเหย้า-เยือน "ผีแดง" ไม่แพ้ใครมา 13 เกมในลีกเข้าไปแล้ว

    ยิ่งไปกว่านั้น โซลชา ยังนำทีมทาบสถิติ "เซอร์เฟอร์กี้" ที่ทำเอาไว้เมื่อปี 1999 ในการเล่นเกมนอกบ้านในลีกไม่แพ้ใคร 17 แมตช์ติดต่อกัน (รวมซีซั่นที่ผ่านมา) ด้วย

5. ทวงจ่าฝูงคืนทันควัน

    นี่คือหนึ่งในบททดสอบหัวใจหัวใจของ แมนเชสเตอร์ย ยูไนเต็ด หลังจากที่พวกเขาโดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เลสเตอร์ ซิตี้ ผลัดกันขึ้นไปรั้งจ่าฝูง ก่อนที่ "ปีศาจแดง" จะลงสนาม ซึ่งหากพวกเขาจิตใจไม่เข้มแข็ง งานนี้สถานการณ์อาจจะไม่น่าอภิรมย์

    ต้องบอกเลยว่า "ปีศาจแดง" อยู่ในช่วงที่ท้าทายสภาพจิตใจมากๆ เพราะพวกเขาลงแข่งหลัง "เรือใบสีฟ้า" กับ "จิ้งจอกสยาม" และการที่โดนทั้งสองทีมแซงขึ้นไปอยู่บนหัวตาราง นั่นทำให้ทีมมีอาการหวาดวิตกเช่นกัน โดยสิ่งนี้แสดงออกมาให้เห็นจากการที่โดน ฟูแล่ม ยิงนำตั้งแต่ไก่โห่

    อย่างไรก็ตามหลังจากที่เหล่าแข้ง "เร้ด เดวิลส์" ตั้งสติได้ และกลับมาเล่นอย่างมีสมาธิ ทำให้พวกเขาเริ่มแสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมาได้เรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้ายก็สามารถบุกมาเก็บชัยชนะ และคว้า 3 แต้มสำคัญส่งให้ทีมกลับไปเป็นจ่าฝูงอีกครั้ง

    กระนั้นนี่เพิ่งจะผ่านไปครึ่งทางของซีซั่นเท่านั้น แต่ถ้าหาก แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องเจอกับทีมใหญ่ที่ลุ้นแชมป์เหมือนกัน แล้วดันเล่นแบบหวาดวิตกเหมือนในช่วงต้นเกมกับ ฟูแล่ม งานนี้พวกเขาอาจจะกลับมาไม่ได้หากเจอทีมที่มีประสบการณ์เขี้ยวลากดินมากกว่า !!