ในเกมฟุตบอลถ้วยที่เล่นกันแบบเหย้า-เยือน นั้น เกมในบ้านถือเป็นนัดที่เจ้าถิ่นต้องเน้นมากเป็นพิเศษ เพราะมันมีเรื่องกฎประตูทีมเยือนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยแค่ผลเสมอแบบมีสกอร์ก็ถือเป็นฝันร้ายของทีมเจ้าบ้านแล้ว
   
ด้วยเหตุนี้ มันจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่หลายคนจะมองว่าตอนนี้ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง มีโอกาสริบหรี่พอตัวที่จะผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นฤดูกาลที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากที่ในรอบตัดเชือกนัดแรกพวกเขาแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-2 คารัง ปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ เมื่อวันพุธที่ 28 เมษายน ที่ผ่านมา เพราะในนัดสองที่ต้องไปเล่นใน เอติฮัด สเตเดี้ยม นั้น "เปแอสเช" ต้องชนะอย่างน้อย 2-0 สำหรับการผ่านเข้าสู่รอบต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในประวัติศาสตร์ของ แชมเปี้ยนส์ ลีก นั้น มันมีการพลิกสถานการณ์กลับมาให้เห็นอยู่หลายต่อหลายครั้ง และถ้านับเฉพาะในรอบรองชนะเลิศแล้วล่ะก็ มันก็เคยมี 2 หนที่ทีมซึ่งแพ้คาบ้านในนัดแรกไปก่อนสามารถพลิกสถานการณ์กับการออกไปเยือนในนัดสองได้ จนทำให้ได้เข้าไปลุ้นแตะกับถ้วย "บิ๊กเอียร์" ในรอบชิงดำ

หนึ่งในนั้นคือ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่เพิ่งทำอย่างนั้นได้ในฤดูกาล 2018-19 โดยตอนนั้น สเปอร์ส ต้องดวลกับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ที่กำลังฟอร์มฮอตสุดๆ ถึงกระนั้นหลายคนก็ยังมองว่าด้วยศักยภาพของขุมกำลังแล้วนั้น "ไก่เดือยทอง" ก็น่าจะมีภาษีดีกว่าอีกฝ่าย

ทว่าในนัดแรกซึ่งเตะกันที่ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม นั้นกลับกลายเป็นว่า อาแจ็กซ์ ได้ชัยชนะกับอเวย์โกลสุดล้ำค่าจากผลงานของ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค ในนาทีที่ 16 ผลการแข่งขันที่ออกมาทำให้ สเปอร์ส ไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องเปิดเกมบุกใส่อย่างเต็มที่ในนัดสองที่ โยฮัน ครัฟฟ์ อารีน่า ซึ่งนั่นก็กลายเป็นการเข้าทาง อาแจ็กซ์ เพราะในนัดสองทีมดังจากฮอลแลนด์นำไปก่อน 2-0 จากผลงานของ มาต์ไตส์ เดอ ลิกท์ ในนาทีที่ 5 กับ ฮาคิม ซิเย็ค ในนาทีที่ 35

สกอร์รวม 2 นัด 3-0 ในตอนนั้นทำให้มันดูเหมือนว่า สเปอร์ส จะไม่มีหวังเข้ารอบแล้ว แต่เรื่องเหลือเชื่อก็เกิดขึ้นเมื่อในครึ่งหลัง ลูคัส มูร่า มาเหมาคนเดียว 3 ลูก ประกอบด้วยนาทีที่ 55, 59 กับช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 6 จนทำให้ สเปอร์ส พลิกเข้ารอบชิงดำด้วยกฎประตูทีมเยือนแบบที่ทำให้แฟนบอล อาแจ็กซ์ ฝันสลาย และกุนซือของ สเปอร์ส ในตอนนั้นก็คือ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ พอดีอีกต่างหาก

สำหรับอีกทีมหนึ่งที่เคยพลิกสถานการณ์ในรอบรองชนะเลิศจากการแพ้ในบ้านได้ก่อนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น อาแจ็กซ์ โดยเกิดขึ้นในซีซั่น 1995-96 ทีมดังของฮอลแลนด์ชุดนั้นมีนักเตะฝีเท้าดีหลายคน อย่างเช่น พาทริค ไคลเวิร์ต, มาร์ค โอเวอร์มาร์ส, ยารี่ ลิตมาเน่น, แฟร้งค์ เดอ บัวร์, เอ็ดการ์ ดาวิดส์, โรนัลด์ เดอ บัวร์, เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์, แดนนี่ บลินด์ และ เอ็นวานโก้ คานู แถมพวกเขายังลงเล่นศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฐานะแชมป์เก่าจากซีซั่น 1994-95 ด้วย

ตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มของ แชมเปี้ยนส์ ลีก จนถึงรอบก่อนรองชนะเลิศในซีซั่น 1995-96 นั้น อาแจ็กซ์ ภายใต้การคุมทีมของ หลุยส์ ฟาน กัล ไม่แพ้ใคร แบ่งเป็นการชนะ 7 เกมกับเสมอ 1 หน โดยในรอบแบ่งกลุ่มพวกเขาถึงขั้นเคยคว่ำ เรอัล มาดริด แบบไปกลับได้ด้วย ทำให้หลายคนมองว่า อาแจ็กซ์ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกับการที่ในรอบรองชนะเลิศต้องเจอกับ พานาธิไนกอส ทีมจากกรีซ

อย่างไรก็ตาม ทีมจากแดนเทพนิยายก็ทำให้หลายคนต้องช็อกเมื่ออาจหาญบุกไปชนะ อาแจ็กซ์ ได้ก่อน 1-0 ถึงกรุงอัมสเตอร์ดัม จากผลงานของ คริสซ์ตอฟ วาร์ซีช่า หัวหอกชาวโปแลนด์ในนาทีที่ 87 ซึ่งมันทำให้พวกเขาฮึกเหิมสุดๆ กับการลงเล่นนัดสองที่ โอลิมปิก สเตเดี้ยม ในกรุงเอเธนส์ โดยที่ในซีซั่นนั้น พานาธิไนกอส ไม่แพ้ใครในบ้านกับเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก เลยด้วย

ถึงกระนั้น อาแจ็กซ์ ก็แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมของพวกเขาเมื่อบุกไปยัดเยียดความปราชัยให้ พานาธิไนกอส ได้ถึงบ้านของอีกฝ่าย 3-0 จาก 2 ประตูของ ลิตมาเน่น กับอีก 1 ลูกของ นอร์ดิน วูเทอร์ ทำให้ อาแจ็กซ์ เข้าไปถึงรอบชิงดำของ แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นฤดูกาลที่ 2 ติดต่อกัน

แน่นอน บั้นปลายของทั้ง สเปอร์ส และ อาแจ็กซ์ ชุดนั้นจบลงด้วยความผิดหวังจากการที่พวกเขาแพ้ ลิเวอร์พูล และ ยูเวนตุน ในรอบชิงชนะเลิศตามลำดับ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ เปแอสเช สนใจในตอนนี้ เพราะพวกเขาต้องให้ความสำคัญกับการเป็นทีมที่ 3 ที่จะพลิกสถานการณ์ในรูปแบบเดียวกันให้ได้ก่อน ส่วนเรื่องอนาคตค่อยดูกันอีกที