ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » ยูฟ่า /ยูโรป้าลีก/ยูโรคัพ » โรนัลโด้อับแสง,2พี่น้องอาซาร์แจ่ม! 5 ประเด็นเบลเยียมปราบโปรตุเกสทะลุ8ทีมยูโร

โรนัลโด้อับแสง,2พี่น้องอาซาร์แจ่ม! 5 ประเด็นเบลเยียมปราบโปรตุเกสทะลุ8ทีมยูโร

Posted 28/06/2021 by siamsport

แชมป์ยูโรได้สำเร็จเมื่อทัพ "ฝอยทอง" ต้องพลาดให้กับ เบลเยียม 0-1 ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2000 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา
    
เกมนี้แฟนบอลโปรตุเกส ต้องงงพอสมควรเพราะ บรูโน่ แฟร์นันด์ส โดนดร็อปเป็นตัวสำรอง สำหรับผลงานของทั้งสองทีมในครึ่งแรกค่อนข้างสูงสีกัน แต่แชมป์เก่ามีโอกาสที่จะได้ประตูนำจาก ดีโอโก้ โชต้า และฟรีคิกของ โรนัลโด้

อย่างไรก็ตาม เบลเยียม มาได้ประตูสำคัญแบบถูกที่ถูกเวลาจาก ธอร์กาน อาซาร์ ในช่วงนาทีที่ 42 ทำให้ครึ่งหลังพวกเขาเล่นได้สบายยิ่งขึ้น ที่สำคัญต้องชมเกมรับของทัพ "ปีศาจแดงแห่งยุโรป" ที่เล่นได้อย่างเหนียวแน่นทำให้แนวรุกโปรตุเกส ไม่สามารถเจาะเข้ามาสร้างอันตรายได้มากนัก
 
1.สองประสานพี่น้องอาซาร์สุดโดดเด่น
แน่นอนว่าเกมนี้นักเตะเบลเยียมโชว์ฟอร์มกันได้ดีแทบทุกคน แต่หากจะมองหาคนที่โดดเด่นที่สุดก็ต้องบอกว่ามีอยู่ 2 คนนั่นก็คือ ธอร์กาน กับ เอแด็น สองศรีพี่น้องจากตระกูลอาซาร์แฟมิลี่

สำหรับ ธอร์กาน แม้ชื่อเสียงอาจจะไม่ได้โดดเด่นโด่งดังเท่ากับ เอแด็น แต่ผลงานในศึกยูโร 2020 ของเขาเหนือกว่าพี่ชายพอสมควร โดยเฉพาะในเกมนี้เขามีส่วนกับการเล่นเกมรุกของ เบลเยียม เยอะมาก และความเร็วกับความคล่องตัวของเขาทำให้แนวรับโปรตุเกสต้องเจอกันงานที่แสนปวดหัว

 ในส่วนของประตูชัยต้องยอมรับว่า ธอร์กาน ทำทุกอย่างได้สมบูรณ์แบบทั้งจังหวะการวางเท้า น้ำหนักในการยิง และทิศทางที่สุดเฉียบคม แต่ยังไม่ใช่แค่นั้นเพราะเขายังคอยช่วยทีมเล่นเกมรับ และยังสามารถแย่งบอลได้ถึง 6 ครั้ง ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะได้รับเลือกเป็น สตาร์ ออฟ เดอะ แมตช์

ขณะที่พี่ใหญ่อย่างเอแด็น ก็ถือว่าโชว์ฟอร์มได้ดีเยี่ยมเช่นกัน โดยเขาแสดงให้เห็นถึงการสัมผัสบอลที่สุดเนียนกริบ และยังมีชอตสุดยอดที่พยายามลากเลื้อยผ่านแนวรับโปรตุเกส ที่สำคัญ สตาร์เรอัล มาดริด มีสถิติเลี้ยงบอล และโดนทำฟาวล์มากสุดเกมนี้

อย่างไรก็ตามฟอร์มของเขายังถือว่าเป็นรองน้องชายสุดที่รักอยู่ดี แต่ใครจะไปสนเพราะแมตช์นี้สองศรีพี่น้องแห่งตระกูลอาซาร์ ประสานงานกันได้อย่างลงตัวทำให้พวกเขาได้ทะลุไปเจอ อิตาลี ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย

 2. โรนัลโด้ อับแสงเกมแห่งชีวิต
สำหรับตอนนี้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ รั้งตำแหน่งดาวซัลโวด้วยการซัดไป 5 ประตู แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสที่จะเพิ่มสกอร์ในศึกยูโร 2020 หลังจากที่ โปรตุเกส โบกมือลาทัวร์นาเมนต์นี้ไปเรียบร้อยแล้ว

"ซีอาร์ 7" ทำผลงานไม่ค่อยดีนักในแมตช์นี้ โดยเขามีโอกาสสร้างความหวาดเสียวที่สุดก็คือจังหวะยิงฟรีคิกในช่วงครึ่งแรก แต่ไม่ผ่านมือ ติโบต์ กูร์กตัวส์ หลังจากนั้น โรนัลโด้ ก็แทบไม่มีบทบาทอะไรกับทัพ "ฝอยทอง" มากนัก

ต้องยอมรับว่าแมตช์นี้แนวรับของเบลเยียม โดยเฉพาะ โทบี อัลเดอร์แวเรลด์ กับ โธมัส แฟร์มาเลน เล่นได้อย่างแข็งแกร่งมาก และทำให้ โรนัลโด้ ไม่สามารถที่จะฝ่าด่านเข้าไปทำประตูได้แบบจะๆ แม้แต่ครั้งเดียว

อีกเรื่องที่น่าเสียดายสำหรับ สตาร์ "ม้าลาย" ยูเวนตุส ก็คือการที่เขาพลาดทำสถิติเป็นนักฟุตบอลที่ทำประตูในระดับทีมชาติมากที่สุดตลอดกาล แซงหน้า อาลี ดาอี ตำนานดาวยิงทีมชาติอิหร่าน เนื่องจากตอนนี้ซัดไป109 ประตูจากการเล่น 178 เกม

แน่นอนว่าสถิตินี้มีโอกาสที่จะถูกทำลายในอนาคตถ้าหาก โรนัลโด้ ยังไม่หันหลังให้กับการเล่นทีมชาติ เพียงแต่ว่ามันน่าเสียดายเพราะอีกแค่ประตูเดียวเขาก็แซงหน้า ดาอี ได้แล้ว แต่ก็ต้องรอต่อไปอีกหลายเดือนเลยทีเดียว

3. ลุ้นอาการบาดเจ็บ 2 สตาร์สุดสำคัญ
ชัยชนะในแมตช์นี้เป็นสิ่งที่แฟนบอลทีมชาติเบลเยียมต่างมีความสุข แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องเสียวหัวใจเช่นกันเพราะ เควิน เดอ บรอยน์ กับ เอแด็น อาซาร์ สองสตาร์สำคัญมีอาการบาดเจ็บ

เพลย์เมกเกอร์ "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สภาพร่างกายไม่ค่อยสมบูรณ์ก่อนทัวร์นาเมนต์นี้อยู่แล้ว แถมในรอบแบ่งกลุ่ม ก็ตกเป็นเป้าเล่นงานจากคู่แข่งเป็นประจำ ในแมตช์นี้ก็เช่นกัน เขาโดนสกัดแบบถอนรากถอนโคนจนเจ็บที่ข้อเท้า และทำให้ต้องเปลี่ยนตัวออกในช่วงต้นครึ่งหลัง

ขณะที่ อาซาร์ผู้พี่ สภาพร่างกายสุดเปราะอยู่แล้ว ในเกมนี้ก็โดนจัดหนักหลายดอกเช่นกัน แต่สุดท้ายเจ้าตัวบาดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อหลังหัวเข่าขณะวิ่งเข้าไปแย่งบอลทำให้ต้องขอเปลี่ยนตัวในช่วงท้ายครึ่งหลัง

สำหรับอาการบาดเจ็บของทั้งสองคนตอนนี้คงต้องลุ้นกันว่าทั้งสองคนจะสามารถเรียกความฟิตกลับมาช่วยทัพ "ปีศาจแดงแห่งยุโรป" ปะทะ อิตาลี ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ได้ทันหรือไม่

งานนี้บอกเลยว่าหาก เดอ บรอยน์ กับ อาซาร์ ไม่สามารถลงสนามได้ ถือเป็นปัญหาใหญ่ในเกมรุกของ เบลเยียม อย่างแท้จริง เพราะ อิตาลี เป็นทีมที่แข็งแกร่งมากๆ พวกเขาเพิ่งจะเสียแค่ประตูเดียวในทัวร์นาเมนต์นี้ ฉะนั้นหากไม่มีพวกแข้งสร้างสรรค์เกม นั่นจะทำให้พวกเขาเจอกับงานยากในการเจาะเกมรับ "อัซซูรี่"

4. บรูโน่ สตาร์อับแสงอย่างแท้จริง
บรูโน่ แฟร์นันด์ส ทำผลงานได้ในระดับเทพประทานกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นับตั้งแต่ที่ย้ายมาจาก สปอร์ติ้ง ลิสบอน เมื่อเดือนมกราคม 2020 และกลายเป็นขวัญใจคนใหม่ของสาวก "เร้ด อาร์มี่" ไปแล้ว

สถิติการตะบันไป 40 ประตูกับ 25 แอสซิสต์ในการเล่นให้ แมนฯ ยูไนเต็ด 80 เกมในทุกรายการ ส่งผลให้เขาได้รับการคาดหวังว่าจะเป็นหนึ่งในผู้เล่นคีย์แมนสำคัญที่จะทำ โปรตุเกส ไปได้ไกลในศึกยูโร 2020

อย่างไรก็ตาม สตาร์วัย 26 ปีกลับล้มเหลวไม่เป็นท่าสำหรับทัวร์นาเมนต์นี้ และที่น่าเจ็บยิ่งกว่านั้นก็คือเพลย์เมกเกอร์ "ปีศาจแดง" โดนจับเป็นตัวสำรองในแมตช์สำคัญกับ เบลเยียม ซะด้วย

แฟร์นันโด ซานโต๊ส กุนซือทัพ "ฝอยทอง" ไม่สนใจใช้งาน บรูโน่ เพราะเขาต้องการส่ง เรนาโต้ ซานเชซ, ชูเอา มูตินโญ่ และ ชูเอา ปาลินญ่า ยืนปักหลักอยู่แดนกลางซึ่งก็ถือว่าได้ผลเป็นทีมพอใจเพราะทั้ง 3 คนสามารถรับมือกับแผงมิดฟิลด์ของคู่แข่งอย่าง ยูริ ตีเลอมันส์, อั๊กเซล วิตเซล และ ธอร์กาน ได้เป็นอย่างดี

กระนั้นด้วยเหตุผลที่สกอร์ตามหลังในช่วงท้ายครึ่งแรก และ เบลเยียม หันมาเล่นแบบรัดกุม ทำให้ ซานโต๊ส ต้องจับ บรูโน่ โดยหวังใช้การวางบอลที่แม่นยำช่วยสร้างโอกาสให้เกมรุกของ โปรตุเกส แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า

จังหวะเดียวที่ดูแล้วน่าจะโดดเด่นที่สุดของ บรูโน่ ก็คือการเปิดลูกเตะมุมเข้าหัว รูเบน ดิอ๊าส  ก็ไม่ผ่านมือของ กูร์กตัวส์ นอกเหนือจากนี้ขอบอกเลยว่าเขาไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการโยนบอลเข้าไปในเขตโทษและจบด้วยการถูกสกัดออกมา !!!

5. โอกาสดีสำหรับ เบลเยียม
สำหรับ เบลเยียม ต้องบอกว่าตอนนี้ค่อยๆ พัฒนาขุมกำลังของพวกเขาได้ดีอย่างต่อเนื่อง และคงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าหากทีมชุดนี้จะมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในระดับชาติในศึกยูโรหนนี้

พวกเขาเคยมีผลงานพุ่งสูงปรี๊ดมาก่อนหน้าในเมื่อ 2 ปีก่อนในศึกฟุตบอลโลก 2018 แต่น่าเสียดายที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับ ฝรั่งเศส ในรอบรองชนะเลิศ ทั้งๆ ที่พวกเขาสร้างความฮือฮาด้วยการปราบ บราซิล ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตามความผิดหวังในครั้งนั้นได้ตกผนึกกลายเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับทัพ "ปีศาจแดงแห่งยุโรป" ในชุดปัจจุบัน โดยพวกเขายังมีแกนหลักเมื่อกว่า 2 ปีก่อนไม่ว่าจะเป็น เดอ บรอยน์, โรเมลู ลูกากู, เอแด็น อาซาร์, โทบี อัลเดอร์แวเรลด์, โธมัส แฟร์มาเลน และ ติโบต์ กูร์กตัวส์ เป็นต้น

นักเตะเหล่านี้สั่งสมประสบการณ์ และได้เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต่อการนำทีมประสบความสำเร็จในการเล่นฟุตบอลระดับชาติ ฉะนั้นนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของ เบลเยียม นับตั้งแต่ยูโร 1980 ที่พวกเขาไปได้ไกลถึงรอบชิง แต่แพ้ให้กับ เยอรมันตะวันตก (เยอรมนีในปัจจุบัน)



TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »