ดราม่าทดเจ็บช่วงต่อเวลาพิเศษหลัง อาร์เตม โดฟบิค หัวหอกตัวสำรองสวมบทฮีโร่โขกประตูชัยในนาที 120+1 ให้ยูเครนแซงเอาชนะ สวีเดน ที่เหลือแค่ 10 คน 2-1 คว้าตั๋วผ่านเข้าไปเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้เป็นครั้งแรก โดยเข้าไปดวลกับ อังกฤษ ในวันที่ 3 ก.ค.นี้ ในศึกยูโร 2020 รอบ 16 ทีมสุดท้าย เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา
สนาม : แฮมพ์เดน พาร์ค, กลาสโกว์ (สกอตแลนด์)

    ฟุตบอล ยูโร 2020 รอบ 16 ทีมสุดท้าย เมื่อคืนวันอังคารที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา สวีเดน ที่ผ่านเข้ารอบมาในฐานะแชมป์กลุ่ม อี  พบกับ ยูเครน ที่เข้ารอบพร้อมเข้ารอบมาในฐานะ  1 ใน 4 ทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุดจากกลุ่ม ซี โดยผู้ชนะจะเข้าไปพบกับ อังกฤษ ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย  

    ยานเน่ อันเดอร์สสัน นายใหญ่ของทัพไวกิ้งยังใช้แข้งชุดเดิมเป็นหลัก แต่แนวรุกเปลี่ยนจาก โรบิน ไกวสันเป็น เดยัน คูลูเซฟสกี้ จับคู่ล่าตาข่ายกับ อเล็กซานเดอร์ อิซัค ส่วนทัพยูเครนของ อังเดร เชฟเชนโก้ จัดสามประสานแนวรุกเป็น อังเดร ยาร์โมเลนโก้, โรมัน ยาเรมชุค, มิโคลา ชาปาเรนโก้ 

    เปิดฉากครึ่งแรก นาที 7 ทัพไวกิ้งได้ลุ้นจากจังหวะที่ เอมิล ฟอร์สเบิร์ก ซัดไปติดบล็อคก่อนจังหวะแรก ก่อนบอลมาเข้าทาง เดยัน คูลูเซสกี้ ก็ยังไปติด ตาราส สเตฟาเนนโก้ ออกหลัง

    นาที 10 ยูเครน สวนกลับขึ้นมาบ้างจากจังหวะที่ มิโคลา ชาปาเรนโก้ ตะลุยเดี่ยวเกินครึ่งสนามมาก่อนจะซัดนอกกรอบออกหลังไปแบบหมดลุ้น

    ทว่าอีกนาทีต่อมาลูกทีมของ เชฟเชนโก้ หวิดขึ้นนำจากการประสานงานระหว่าง โรมัน ยาเรมชุค แทงให้ อังเดร ยาร์โมเลนโก้ ก่อนที่ยาร์โมเลนโก้จะหักคืนมาให้ ยาเรมชุค ซัดไปติดเซฟ โรบิน โอลเซ่น

    นาที 19 เป็นโอกาสของทัพสวีเดนบ้าง เดยัน คูลูเซสกี้ หักเข้าในกรอบให้ อเล็กซานเดอร์ อิซัค ปั่นด้วยขวาบอลพุ่งถากเสาไกลออกไปอย่างน่าเสียดาย

     นาที 27 กลายเป็น ยูเครน มาพังประตูขึ้นนำไปก่อน 1-0 จากจังหวะที่ อังเดร ยาร์โมเลนโก้ ดีดไซด์ก้อยเลยมาเสาไกล โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ วิ่งมาวอลเลย์แบบไม่จับบอลพุ่งแรงทะลุเซฟของ โรบิน โอลเซ่น เข้าไปกระทบตาข่ายอย่างสวยงาม

    นาที 29 ทัพไวกิ้งมีโอกาสลุ้นตีเสมอหลังได้ฟรีคิกหน้ากรอบ ก่อนที่ เซบาสเตียน ลาร์สสัน จะปั่นข้ามกำแพงแต่ยังไม่พ้นมือ จอร์จี้ บุชชาน

    นาที 32 ยูเครน เกือบได้ลุ้นเม็ดที่สอง บอลจากลูกฟรีคิกเปิดเข้ามา อัลบิน เอ็คดัล เคลียร์บอลไม่ขาดมาเข้าทาง อังเดร ยาร์โมเลนโก้ พักด้วยอกก่อนซัดเหินคานออกไปหวุดหวิด

    ท้ายครึ่งแรก นาที 43 สวีเดนมาทวงประตูตีเสมอ 1-1 สำเร็จ จากจังหวะที่ อเล็กซานเดอร์ อิซัค ไหลให้ เอมิล ฟอร์สเบิร์ก ตะบันนอกกรอบเต็มข้อบอลพุ่งไปแฉลบขา ซาบาร์นยี่ ก่อนผ่านมือ จอร์จี้ บุชชาน เข้าไป เป็นประตูที่ 4 ของดาวยิงจากแอร์เบ ไลป์ซิกในยูโรหนนี้

    จบครึ่งแรก สวีเดน เสมอกับ ยูเครน 1-1

     กลับมาเล่นต่อในครึ่งหลัง นาที 52 ฟอร์สเบิร์ก ไหลเข้ากลางให้ เซบาสเตียน ลาร์สสัน กัปตันทีมตั้งป้อมซัดไกลนอกกรอบแต่บอลพุ่งถากเสาแรกออกไปอย่างน่าเสียดาย

    นาที 55 ยูเครน ชวดได้ประตูขึ้นนำอีกครั้งหลัง ยาร์โมเลนโก้ หักคืนหลังมาให้ เซอรเก ซีดอร์ชุค ปั่นด้วยขวาบอลกำลังจะเบียดเข้าไปแล้วแต่ไปชนเสาออกหลัง

    แต่อีกนาทีถัดมา ทัพไวกิ้ง ก็เกือบจะแซงขึ้นนำเหมือนกันหลัง อเล็กซานเดอร์ อิซัค พาบอลขึ้นมาแล้วป้ายออกซ้ายให้ เอมิล ฟอร์สเบิร์ก วิ่งมาปั่นบอลไปชนโคนเสาอย่างน่าเสียดาย

    นาที 67 เดยัน คูลูเซฟสกี้ ลากตัดเข้ามาในกรอบก่อนปั่นด้วยซ้ายบอลกำลังมุดเข้าใต้คานแต่ยังไม่ผ่านมือของ จอร์จี้ บุชชาน ที่พุ่งปัดออกหลังหวุดหวิด

    อีกสองนาทีต่อมา วิคเตอร์ ลินเดอลอฟ พาบอลขึ้นมาเองก่อนป้ายออกซ้ายให้ เอมิล ฟอร์สเบิร์ก ลากตัดเข้าไปในกรอบก่อนปั่นโค้งไปชนคานอย่างน่าเสียดาย

    จบ 90 นาทียังเสมอกัน 1-1 ต้องต่อเวลาฯอีก 30 นาทีออกไปเพื่อหาผู้ชนะเข้าไปดวลกับ อังกฤษ ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย

    นาที 98 ทัพไวกิ้งต้องเหลือแค่ 10 คนหลัง มาร์คุส ดาเนียลสัน โดนไล่ออกจากสนามหลังพุ่งไปเสียบเปิดปุ่มใส่หัวเข่า อาร์เต็ม เบเซดีน ตัวสำรองที่เพิ่งลงมา ก่อนเจ้าตัวจะเล่นไม่ไหวต้องให้ วิคเตอร์ ซีกานคอฟ ลงมาเล่นแทน

    แม้ยูเครนจะโหมบุกอย่างหนักหลังได้เปรียบตัวผู้เล่นแต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้  เข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษครึ่งหลัง  อังเดร ยาร์โมเลนโก้ มาเล่นต่อไม่ไหว "เชว่า" ต้องเปลี่ยนตัวคนสุดท้ายเอา อาร์เต็ม ดอฟบุค ลงเล่นแทน

    เกมทำท่าว่าจะต้องลุ้นถึงการดวลจุดโทษ แต่แล้วช่วงทดเจ็บ นาที 120+1 ยูเครน มาได้ประตูแซงขึ้นนำหลัง โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ ครอสบอลมาเสาแรกให้ อาร์เตม โดฟบิค โฉบมาโขกบอลเข้าไปตุงตาข่าย ผู้ตัดสินเช็กวีเออาร์แล้วไม่ล้ำหน้ายืนยันให้ประตู

    ก่อนอีกไม่กี่อึดใจผู้ตัดสินจะเป่าจบเกม เป็นอันว่า ยูเครน เฉือนเอาชนะ สวีเดน ช่วงต่อเวลาพิเศษ 2-1 หลังเสมอกันในเวลา 90 นาที 1-1 ผ่านเข้าไปเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายพบกับ อังกฤษ

    รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
   
    สวีเดน (4-4-2) : โรบิน โอลเซ่น - มิคาเอล ลุสติก (เอมิล คราฟธ์ น.83), วิคเตอร์ ลินเดอลอฟ, มาร์คุส ดาเนียลสัน (ใบแดง น.99), ลุดวิก เอากุสตินส์สัน (ปิแอร์ เบงท์สสัน น.83) - เซบาสเตียน ลาร์สสัน (วิคเตอร์ เครสสัน น.97), คริสตอฟเฟอร์ โอลส์สัน (ฟิลิป เฮเลนเดอร์ น.101), อัลบิน เอ็คดัล, เอมิล ฟอร์สเบิร์ก - เดยัน คูลูเซฟสกี้ (โรบิน ไควสัน น.97), อเล็กซานเดอร์ อิซัค (มาร์คุส เบิร์ก น.97)

    เทรนเนอร์ : ยานเน่ อันเดอร์สสัน

    ยูเครน (4-3-3) : จอร์จี้ บุชชาน - โอเล็กซานเดอร์ คาราวาเยฟ, อิลิย่า ซาบาร์นยี่, เซอร์เกย์ คริฟต์ซอฟ, มีโคล่า มัตวิเยนโก้ (รุสลัน มาลินอฟสกี้ น.61) - เซอรเก ซีดอร์ชุค, ตาราส สเตฟาเนนโก้ (เยฟเฮน มาคาเรนโก้ น.95), โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ - อังเดร ยาร์โมเลนโก้ (อาร์เตม โดฟบิค น.105), โรมัน ยาเรมชุค (อาร์เต็ม เบเซดิน น.95 (วิคเตอร์ ซีกานคอฟ น.101), มิโคลา ชาปาเรนโก้

    เทรนเนอร์ : อังเดร เชฟเชนโก้ 
   
    ผู้ตัดสิน : ดานิเอเล่ ออร์ซาโต้ (อิตาลี)