อังกฤษ ยังคงรักษาฟอร์มร้อนแรงด้วยการผ่านเข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศ ในศึกยูโร 2020 โดยด่านต่อไปที่ทัพ "สิงโตคำราม" จะต้องพบกับ เดนมาร์ก ที่สนามเวมบลีย์ ในวันที่ 7 กรกฎาคมนี้
  
"ทรี ไลอ้อนส์" เพิ่งโชว์ฟอร์มโดดเด่นเป็นสง่าในเกมปะทะ ยูเครน โดยพวกเขาได้สองประตูจากกัปตันแฮร์รี่ (เฮอร์ริ) เคน ส่วนอีกสองลูกมาจากสองนักเตะที่ติดธงทั้งๆ ที่อาการบาดเจ็บยังไม่หายขาดนั้นก็คือ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ และจอร์แดน เฮนเดอร์สัน

ผลงานชิ้นโบว์แดงในแมตช์นี้ต้องยกเครดิตให้กับ แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีม โดยมี 4 สิ่งที่เห็นได้อย่างเด่นชัดที่เขาทำถูกต้องในการกุมบังเหียนทัพ "สิงโตคำราม" เดินหน้าเข้าไปลุ้นความสำเร็จในระดับชาติครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เคยคว้าแชมป์เวิลด์ คัพ 1966
 
เลือก ซานโช่ ลงตัวจริง
เซาธ์เกต ตัดสินใจในสิ่งที่แฟนบอล "สิงโตคำราม" พยายามเรียกร้องมาตลอดในทัวร์นาเมนต์นี้ นั่นก็คือให้โอกาส เจดอน ซานโช่ ได้ลงสนามเป็นตัวจริง และในเกมกับ ยูเครน เขาก็เลือกทำในสิ่งที่ทุกๆ คนปรารถนา

ว่าที่สตาร์ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีเวลาได้โชว์ "ของ" อย่างเต็มที่ในแมตช์นี้แม้ว่าฟอร์มอาจจะยังไม่โดดเด่นมากนัก แต่ทันทีที่ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ซานโซ่ จะงัดฟอร์มที่ดีที่สุดออกมาช่วยทีมได้แน่นอน

จะว่าไปแล้วศักยภาพของ ดาวเตะวัย 21 ปีถือว่าขู่เกมรับของ ยูเครน ได้ตลอด ฉะนั้นมันดูเป็นเรื่องที่อคติเกินไปสำหรับ "เลกิ๊ป" นิตยสารดังในประเทศฝรั่งเศส ที่ให้คะแนน ซานโช่ แค่ 4 แต้มเท่านั้นในแมตช์ดังกล่าว

เปลี่ยนมาใช้แผนแบ็กโฟร์
กุนซือเลือดผู้ดี ตัดสินใจกลับแผนการเล่นเกมรับด้วยการหันมาใช้ระบบกองหลัง 4 ตัว โดยนี่เป็นแผนการเล่นที่ อังกฤษ ทำผลงานได้ดีในการเล่นรอบแบ่งกลุ่ม ก่อนที่จะปรับมาใช้ระบบกองหลัง 3 ตัวในเกมที่ปะทะกับ เยอรมนี ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย

สำหรับแท็กติกแบ็กโฟร์ถือว่ามีข้อได้เปรียบอย่างมากสำหรับทีมที่มีฟูลแบ็กสองฝั่งที่เล่นเกมรุกได้ดี เพราะนั่นทำให้ ลุค ชอว์ และ ไคล์ วอล์คเกอร์ มีโอกาสดันเกมขึ้นสูง และทำหน้าที่เหมือนกับเป็นปีกไปในตัว

ด้วยการที่ ยูเครน เน้นเล่นเกมตั้งรับเวลาที่ทัพ "สิงโตคำราม" ได้ครองเกม นั่นหมายความว่า อังกฤษ มีโอกาสดีเยี่ยมที่จะได้เดินเกมรุกทางฝั่งปีกทั้งสองข้าง และทำให้คู่แข่งต้องปั่นป่วนในการรับมือสองฟูลแบ็กเลือดผู้ดี

ฉะนั้นการวางแผนการเล่นแบบแบ็กโฟร์ยังทำให้ เซาธ์เกต มีโอกาสที่จะส่งผู้เล่นแนวรุกตัวพิเศษลงสนามได้ด้วย นั่นทำให้ ยูเครน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลงไปตั้งรับลึก และยิ่งทำให้ อังกฤษ สร้างโอกาสได้มากยิ่งขึ้น

เมาท์หวนคืนสนาม
หลังจากที่ต้องโดนกดดันให้ต้องทำการกักตัวเนื่องจากดันไปอยู่ใกล้ชิดกับ บิลลี่ กิลมอ​ร์ กองกลางทีมชาติสกอตแลนด์ ที่ถูกตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หลังเกมที่เสมอกับทัพ "วิสกี้" แบบไร้สกอร์

เมาท์กับ เบน ชิลเวลล์ พลาดลงสนามในเกมชนะ สาธารณรัฐเช็ก ในแมตช์สุดท้าย รอบแบ่งกลุ่ม รวมไปถึงเกมที่ไล่อัด "อินทรีเหล็ก" เยอรมนี แต่ในที่สุด สตาร์สโมสรเชลซี ก็มีอิสระในการลงสนามในแมตช์พบ ยูเครน

เซาธ์เกต ไม่รีรอที่จะจับ เมาท์ ลงสนามโดยให้เขาทำหน้าที่เป็นมิดฟิลด์ตัวรุกพร้อมแผนการเล่น 4-2-3-1 และคอยทำหน้าที่เชื่อมเกมระหว่างผู้เล่นแนวรุกกับสองโฮลดิ้งมิดฟิลด์ได้แก่ เดแคลน ไรซ์ กับ คาลวิน ฟิลลิปส์

บทบาทนี้ทำให้ เมาท์ โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นมากๆ ในแมตช์ดังกล่าว ก่อนที่เขาจะมาทำแอสซิสต์ให้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ลงสนามเป็นตัวสำรองโหม่งประตูตอกฝาโลงยูเครนแบบสนิทไม่มีสิทธิ์ฟื้นคืนชีพได้เลย

นอกจากนี้ เมาท์ ยังมีจังหวะการเล่นเกมรับที่สุดสำคัญมากๆ ในช่วง 9 นาทีสุดท้ายก่อนจะพักครึ่ง เมื่อเขาเข้าเสียบสกัด อันเดร ยาร์โมเลนโก้ ช่วยป้องกันไม่ใช้เขาได้ยิงถนัดก่อนที่จะมีการเคลียร์บอลทิ้งไป
 
ปกป้องลูกทีม
หลังจากที่ เคน โหม่งประตูที่สามให้อังกฤษ นำ ยูเครน 3-0 เซาธ์เกต ตัดสินใจที่จะทำการปกป้องลูกทีมทันทีเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะทำให้นักเตะได้รับบาดเจ็บ จนพลาดลงสนามในรอบรองชนะเลิศ

เขาเลือกที่จะถอด เดแคลน ไรซ์ ออก และส่ง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ลงไปเล่นแทนในช่วงก่อนครบ 60 นาที อีกแปดนาทีหลังจากนั้นก็เปลี่ยน คาลวิน ฟิลลิปส์ ออกพร้อมส่ง จู๊ด เบลลิงแฮม ลงสนาม

นอกจากนี้ยังจัดการเก็บ เคน, ราฮีม สเตอร์ ลิง และ ลุค ชอว์ ด้วย และต้องยอมรับเลยว่า เซาธ์เกต มีเซนต์ในการเปลี่ยนตัวมากๆ เพราะการส่ง กัปตันทีม "หงส์แดง" ลงเล่น ยังทำให้เขาทำประตูแรกในทัวร์นาเมนต์นี้ด้วย
   
ยิ่งไปกว่านั้นการบรรดาผู้เล่นคีย์แมนที่เขาเลือกถอดออกมาก็จะทำให้นักเตะเหล่านั้นได้พักผ่อนร่างกาย และมีเวลาพักฟื้นมากยิ่งขึ้น เพื่อจะได้มีสภาพความฟิตเต็มสูบพร้อมลุยกับ เดนมาร์ก ในเกมรอบตัดเชือกวันพุธนี้