ทีมยอดเยี่ยม พรีเมียร์ลีก ประจำสัปดาห์ ที่ 5 มีบรรดาแข้งทีมใหญ่ติดเข้ามาหลายคนทั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด, เชลซี และ ลิเวอร์พูล โดยที่มีสองแข้งที่ลงเป็นตัวสำรองแล้วสามารถเปลี่ยนเกมให้ทีมคว้าชัยได้!!
   
ผู้รักษาประตู : ดาบิด เด เคอา (แมนฯ ยูไนเต็ด)

กลายเป็นฮีโร่ของ "ปีศาจแดง" แมนฯ ยูไนเต็ด พาเก็บรักษาชัยชนะไว้ได้ในวินาทีสุดท้าย หลังพุ่งเซฟจุดโทษของ มาร์ค โนเบิ้ล ไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม

นี่คือการเซฟจุดโทษครั้งแรกของนายด่านสแปนิช สำหรับการเฝ้าเสาให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ในศึก พรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2014 (เอฟเวอร์ตัน) จาก 22 หนที่เผชิญหน้า

กองหลัง : แม็ตตี้ แคช (แอสตัน วิลล่า)

เติมเกมทางฝั่งขวาได้อย่างโดดเด่น พร้อมกับทรงผมที่ทำเอาแฟน "สิงห์ผยอง" คิดว่าเป็น แจ็ค กรีลิช

ท่ามกลางรูปเกมที่สูสี กลายเป็น แอสตัน วิลล่า ที่มาได้ประตูขึ้นนำจากปลายสตั๊ดของ แม็ตตี้ แคช ซึ่งมาจากข้างที่ไม่ถนัดเสียด้วย

ประตูนี้ของเขา คือสกอร์แรกในศึก พรีเมียร์ลีก ในสีเสื้อ วิลล่า จาก 33 เกมก่อนหน้านี้ที่ลงสนาม

กองหลัง : ติอาโก้ ซิลวา (เชลซี)

รับหน้าที่ตามประกบ ซน ฮึง-มิน และทำได้ยอดเยี่ยมสุด ๆ เท่านั้นไม่พอ ยังเป็นคนเบิกสกอร์แรกให้ เชลซี ออกนำในช่วงครึ่งหลัง ก่อนจะเอาชนะไปสบาย ๆ 3-0

ในวัย 36 ปี 362 วัน ซิลวา กลายเป็นผู้เล่น "สิงห์บลูส์" ที่แก่สุดลำดับที่ 2 ที่ทำประตูได้ใน พรีเมียร์ลีก รองจาก ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ที่เคยทำไว้ในวัย 37 ปี กับอีก 49 วัน เมื่อเดือนเมษายน ปี 2015

กองหลัง : กาเบรียล (อาร์เซน่อล)

เป็นเกมที่ อาร์เซน่อล ต้องรับมือพายุลูกโยนยาวของ เบิร์นลี่ย์ ที่ เทิร์ฟ มัวร์ ซึ่งสุดท้าพวกเขาก็เอาตัวรอดออกมาด้วยชัยชนะ และส่วนหนึ่งต้องชื่นชมการทำหน้าที่ของแนวรับพันธุ์แซมบ้ารายนี้

สถิติหลังเกม ระบุว่า กาเบรียล เคลียร์บอลทิ้งได้ถึง 10 ครั้ง และเข้าปะทะบอลสำเร็จอีก 3 หน

กองหลัง : คริสตอฟเฟอร์ เอเยอร์ (เบรนท์ฟอร์ด)

จังหวะสำคัญคือการเข้าสกัด ฮวาง ฮี-ชาน ได้อย่างยอดเยี่ยม เอเยอร์ ไม่เพียงแค่จะช่วยพา เบรนท์ฟอร์ด เก็บคลีนชีตเท่านั้น แต่ยังพาให้ทีมควักชัยชนะออกจาก โมลินิวซ์ ได้สำเร็จ

ไม่มีผู้เล่น เบรนท์ฟอร์ด รายใดที่เคลียร์บอลทิ้ง (6) และตัดบอล (3) ได้มากกว่า เอเยอร์ อีกแล้วในเกมนี้

กองกลาง : เอ็นโกโล่ ก็องเต้ (เชลซี)

โธมัส ทูเคิ่ล แก้เกมทันทีที่เริ่มต้นครึ่งหลัง โดยส่ง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ลงเล่นแทน เมสัน เมาท์ ที่โชว์ฟอร์มไม่ออกตอนช่วงครึ่งแรก และการมี ก็องเต้ ในสนามก็ทำให้เกมของ "สิงห์บลูส์" ไหลลื่นขึ้นมามาก และเป็นฝ่ายครองเกมในช่วง 45 นาทีหลังไว้ได้แทบทั้งหมด

กองกลาง : เจสซี่ย์ ลินการ์ด (แมนฯ ยูไนเต็ด)

ตอนที่ ลินการ์ด ก้าวท้าวลงสู่สนาม มีเวลาให้กับเขาได้โชว์ฟอร์ม 17 นาที ซึ่งในที่สุด เจ-ลิงซ์ มาแก้ตัวจากเกมยุโรป บรรจงปั่นบอลด้วยขวาบอลพุ่งเข้าประตูไปอย่างสวยงาม และเป็นประตูชัยให้กับ "ปีศาจแดง"

กองกลาง :  เจมส์ มิลเนอร์ (ลิเวอร์พูล)

จริง ๆ แล้วจากเกมล่าสุด เจมส์ มิลเนอร์ ต้องไปรับบทบาทแบ็กขวาแทนที่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ป่วยกะทันหันก่อนเกมการแข่งขัน

ซึ่งในการรับมือกับ วิลฟรีด ซาฮา เจ้าตัวก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม โดยมีสถิติเข้าปะทะสำเร็จ 4 ครั้ง และตัดบอลได้อีก 3 หน

กองหน้า : โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (ลิเวอร์พูล)

มีส่วนร่วมกับทั้งสามประตูที่ ลิเวอร์พูล ทำได้ แม้ลูกสุดท้ายจะไม่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนแอสซิสต์ก็ตาม

ใบเหลืองในเกมนี้ของ ซาลาห์ เกิดจากสาเหตุที่เจ้าตัวไปถอดเสื้อดีใจ และในการเล่น พรีเมียร์ลีก เจ้าตัวโดนคาดโทษไปแค่ 4 ครั้งเท่านั้น ซึ่ง 3 จาก 4 เกิดขึ้นเพราะไปถอดเสื้อเมื่อทำประตูได้

กองหน้า : ไอแวน โทนี่ย์ (เบรนท์ฟอร์ด)

โทนี่ย์ พิสูจน์แล้วว่าสามารถยืนหยัดเล่นบนเวทีสูงสุด อังกฤษ ได้ โดยเกมนี้เขาสังหารจุดโทษ รวมถึงแอสซิสต์ให้เพื่อนทำประตู พา "เดอะ บีส์" บุกเอาชนะ วูล์ฟส์ ได้สำเร็จ

หัวหอกเลือดผู้ดี สังหารจุดโทษสำเร็จ 15 จาก 16 ครั้งในลีกเมืองผู้ดี โดยทำให้กับ เบรนท์ฟอร์ด ได้ถึง 10 ครั้ง (ไม่รวมเกมเพลย์ออฟ)

กองหน้า : อิสไมล่า ซาร์ (วัตฟอร์ด)

การเคลื่อนที่ และการคาดการณ์เกมของแข้งวัย 23 ปีรายนี้นับว่ายอดเยี่ยม ซาร์ ซัดเบิ้ลพา วัตฟอร์ด บุกชนะ นอริช 3-1 คว้าชัยเกมแรกนับตั้งแต่เปิดหัวชนะ แอสตัน วิลล่า ในเกมแรก หลังจากที่แพ้มา 3 เกมติดต่อกัน

นับตั้งแต่ลงสนามให้ วัตฟอร์ด เกมแรกเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2019 ซาร์ ทำประตูในลีกไปแล้ว 21 ลูกซึ่งไม่มีผู้เล่นคนไหนในทีมทำได้มากกว่าเขาอีกแล้ว