ลิเวอร์พูล ต้องพยายามกลับมาทำผลงานในพรีเมียร์ลีกให้ยอดเยี่ยมเหมือนในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยพวกเขามีคิวเยือน เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่กำลังฟอร์มร้อนแรงในลีกเหลือเกินในฤดูกาลนี้
    "หงส์แดง" เกิดฟอร์มสะดุดในแมตช์ล่าสุดที่ทำได้เพียงแค่เปิดบ้านเสมอ ไบรท์ตัน 2-2 ทั้งๆ ที่นำก่อน 2-0 ด้วยซ้ำ แต่ยังสามารถเรียกฟอร์มเก่งกลับคืนมาในแมตช์ทุบ แอตเลติโก มาดริด ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ช่วงกลางสัปดาห์นี้

     ขณะที่ เวสต์แฮม ฟอร์มทั้งในลีก และในยูโรปา ลีก ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว โดยเฉพาะผลงานในเกมลูกหนังเมืองผู้ดีตอนนี้ขึ้นมาอยู่ในอันดับ 4 และแน่นอนว่าพวกเขาคงต้องการสอย ลิเวอร์พูล เพื่อเปิดโอกาสลุ้นแชมป์ลีกในฤดูกาลนี้

 1.วิบากกรรมผู้เล่นบาดเจ็บ
     ลิเวอร์พูล ยังคงต้องพบกับอาถรรพ์ผู้เล่นบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา "หงส์แดง" ขาดกองหลังตัวหลักแบบยกชุด สำหรับซีซั่นนี้พวกแนวรุกของทีมในแดนกลางและกองหน้าก็เจอกับโรคเดี้ยงเล่นงานอีกครั้ง

     โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, นาบี เกอิต้า และ โจ โกเมซ คือสามแข้งล่าสุดที่ต้องแวะเวียนไปที่โรงหมอมากกว่าสนามซ้อม เช่นเดียวกับ เคอร์ติส โจนส์, เจมส์ มิลเนอร์ และ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ซึ่งรายหลังกำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูร่างกายแต่ก็คงอีกนานกว่าจะกลับมาฟิตสมบูรณ์

     คล็อปป์ เหลือกองหน้าใช้งานเพียงแค่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ดีโอโก้ โชต้า และ ซาดิโอ มาเน่ ส่วน ดิว็อค โอริกี้ กับ ทาคุมิ มินามิโนะ คงทำได้เพียงแค่เป็นยางอะไหล่และจะถูกส่งลงมาในกรณีที่ทีมจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง หรือสกอร์ขาดแล้วเท่านั้น

     ขณะที่แผงมิดฟิลด์ยังถือว่ามีข่าวดีเมื่อ ฟาบินโญ่ ฟิตสมบูรณ์ ส่วน ติอาโก้ อัลกันทาร่า ยังไม่พร้อมที่จะลงตัวจริง ฉะนั้น คล็อปป์ น่าจะใช้แผงมิดฟิลด์ชุดเดิมที่ชนะ แอตเลติโก มาดริด นั่นก็คือ ฟาบินโญ่,  อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน

     สิ่งเดียวที่ นายใหญ่ชาวเยอรมัน ต้องภาวนาสุดหัวใจก็คืออย่าให้มีผู้เล่นบาดเจ็บอีกโดยเฉพาะกองกลาง และกองหน้า ไม่อย่างนั้นพวกเขาอาจจะต้องเจอกับชะตากรรมเดียวกันซีซั่นที่แล้ว ที่ฟอร์มร่วงกราวรูดในนับตั้งแต่คริสต์มาสไปจนจบฤดูกาล

2. โรเบิร์ตสัน ยังคงยืนหนึ่งในแบ็กซ้าย

     แม้ว่า แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน จะถูกวิจารณ์เรื่องฟอร์มการเล่นพอสมควรในฤดูกาลนี้ โดยเฉพาะผลงานการเล่นเกมรุกที่ไม่ค่อยโดดเด่นมากนัก และยังไม่มีแอสซิสต์เลย ทำให้ตำแหน่งของเขาค่อนข้างจะถูกดร็อปพอสมควร

     ก่อนหน้านี้ คล็อปป์ แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาพร้อมให้โอกาส คอสตาส ซิมิคาส ลงสนาม เพราะนักเตะโชว์ฟอร์มได้ดีในช่วงปรีซีซั่นและต้นฤดูกาล ล่าสุดก็ได้ลงเล่นตัวจริงในแมตช์ช่วย "เดอะ เร้ดส์" สอย แอต.มาดริด เมื่อกลางสัปดาห์นี้

     ฟอร์มของ ดาวเตะชาวกรีก ค่อนข้างได้รับคำชมพอสมควรในแมตช์กับ "ตราหมี" และนั่นทำให้เกิดการคาดการณ์กันว่าในเกมเยือน เวสต์แฮม ยูไนเต็ด มีสิทธิ์ที่ ซิมิคาส จะได้ลงประจำตำแหน่งทางริมเส้นฝั่งซ้าย

     อย่างไรก็ตามจากบทสัมภาษณ์ล่าสุดของ คล็อปป์ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขายังคงไว้วางใจในศักยภาพของ โรเบิร์ตสัน โดยยกย่องว่าเป็นแบ็กซ้ายที่เก่งที่สุดในโลกในตำแหน่งนี้

     จากคำพูดดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า กุนซือชาวเยอรมัน พร้อมให้โอกาส โรเบิร์ตสัน ลงเป็น 11 ตัวจริงในเกมปะทะ "ขุนค้อน" เพราะสไตล์การเล่นที่ดุดัน มีพละกำลังเหลือเฟือ พร้อมวิ่งแบบไม่มีหมด ย่อมมีประโยชน์กับระบบเกเก้นเพรสซิ่งที่สุด

 3. เวสต์แฮม กำลังอยู่ในฟอร์มสุดยอด

     เดวิด มอยส์ สร้างเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ให้กลายเป็นทีมที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยฤดูกาลที่ผ่านมาสามารถนำทีมจบอันดับ 6 และคว้าตั๋วไปลุยศึกยูฟ่า ยูโรปา ลีก ได้อย่างยอดเยี่ยม

     สำหรับฤดูกาลนี้ "เดอะ แฮมเมอร์ส" ยังคงทำผลงานได้โดดเด่นทั้งในลีก และฟุตบอลถ้วยใบเล็กยุโรป สำหรับฟอร์มในพรีเมียร์ลีก ผ่านมา 10 เกมทีมยึดอันดับ 4  มี 20 คะแนน ที่สำคัญหากเกมนี้สามารถเอาชนะลิเวอร์พูลได้ ทีมจะมีแต้มไล่บี้กับ เชลซี จ่าฝูงอย่างสุดมันเลยทีเดียว และก้าวขึ้นมาลุ้นแชมป์อย่างเต็มตัว

     ต้องยอมรับว่า มอยส์ สร้างสมดุลให้กับ "ขุนค้อน" อย่างมากเพราะทีมชุดนี้มีทั้งคุณภาพ และความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะแดนกลางที่มี เดแคลน ไรซ์ คอยทำหน้าที่คุมจังหวะเกม และมีส่วนในการตัดบอลและสร้างโอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีม สำหรับเกมรับก็ยอดเยี่ยมเพราะพวกเขาเสีย 11 ลูกเป็นรองแค่ แมนฯ ซิตี้, "หงส์แดง" และ เชลซี เท่านั้น

     นอกจาก ไรซ์ ที่เป็นนักเตะที่แข้งทีมเยือนห้ามปล่อยให้มีโอกาสเล่นได้สบายๆ แล้ว ยังมีผู้เล่นอีกหลายคนที่พวกเขาต้องระมัดระวังทั้ง โทมัส ซูเช็ค, ซาอิด เบนราห์มา รวมทั้ง มิคาอิล อันโตนิโอ เป็นต้น

     สำหรับ มอยส์ เพิ่งจะทำสถิติคุมทีมครบ 1,000 เกมในอาชีพกุนซือ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ฉลองอย่างเต็มที่เนื่องจาก เวสต์แฮม ทำได้แค่เสมอ เกงค์ 2-2 ในเกมยูโรปา ลีก ฉะนั้นแมตช์รับมือ ลิเวอร์พูล พวกเขาคงอยากคว้าชัยชนะเพื่อเป็นของขวัญให้กับเจ้านายชาวสกอตติช

 4. อันโตนิโอ ที่ฟอร์มโหดเหลือเกินในซีซั่นนี้

     ขุมกำลังของ เวสต์แฮม มีความสมดุลกันในทุกตำแหน่ง แต่ที่ต้องบอกว่าโดดเด่นที่สุดในเวลานี้คงหนีไม่พ้น มิคาอิล อันโตนิโอ ที่ฟอร์มฮอตเหลือเกิน และเป็นนักเตะที่คงทำให้เกมรับของ "หงส์แดง" ระส่ำแน่นอน

     ดาวยิงวัย 31 ปี ซัดไปแล้ว 6 ประตูกับ 3 แอสซิสต์ใน 9 เกมลีกที่ลงสนาม แน่นอนว่าเขาเป็นนักเตะที่เต็มไปด้วยพละกำลังและมีร่างกายที่แข็งแกร่งซึ่งคงจะสร้างปัญหาให้กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และคู่หูเซนเตอร์แบ็กของเขาพอสมควร

     ฉะนั้น ฟาน ไดค์ และคู่หูเซนเตอร์ฮาล์ฟของเขาไม่ว่าจะเป็น อิบาฮิม่า โกนาเต้ หรือ โฌแอล มาติช คงต้องงัดฟอร์มเก่งออกมาให้ดีกว่าในเกมกับ เบรนท์ฟอร์ด และ ไบรท์ตัน ไม่งั้นโดนเล่นงานแหงๆ

     ที่สำคัญสถิติของ อันโตนิโอ กับการเล่นเกมลีกในบ้านน่ากลัวเหลือเกิน เพราะเขามีส่วนกับการที่ทีมได้ประตูถึง 17 ลูกจาก 22 แมตช์ (11 ประตู, 6 แอสซิสต์) แถมยังเป็นดาวซัลโวสูงสุดในถิ่นตัวเองด้วยสถิติ 19 ประตูกับ 12 แอสซิสต์ด้วย 
 

5. สถิติไร้พ่ายจะมีต่อเนื่องหรือจะสิ้นสุดที่ ลอนดอน สเตเดี้ยม

     เกมที่ ลิเวอร์พูล คว่ำ แอตเลติโก มาดริด ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทำให้พวกเขายืดสถิติไม่แพ้ใครเป็นเกมที่ 25 จากการแข่งขันทุกรายการ โดยสถิติดังกล่าวนับย้อนไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

     "เดอะ เร้ดส์" ไม่เคยได้ลิ้นรสคำว่าแพ้นับตั้งแต่ที่พวกเขาออกไปพ่ายให้กับ "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด 1-3 ในศึกชิงถ้วยใบโตยุโรป รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดแรก เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา

     ถ้าหาก คล็อปป์ สามารถนำ ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ในเกมวันอาทิตย์นี้ พวกเขาจะสร้างสถิติไร้พ่ายตลอดกาลของสโมสร ซึ่งเอาชนะสถิติที่ บ็อบ เพสลี่ย์ ตำนานกุนซือ สร้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อปี 1982

     ขณะเดียวกันการไปเล่นในถิ่นลอนดอน สเตเดี้ยม ก็ถือว่าเป็นสนามที่ถูกโฉลกกับ ลิเวอร์พูล ซะด้วย เพราะพวกเขาเผชิญหน้ากับเจ้าบ้านในสนามแห่งนี้มาแล้ว 5 ครั้ง นับตั้งแต่ที่ "ขุนค้อน" ย้ายมาจากอัพตัน พาร์ค ก็ยังไม่แพ้เวสต์แฮมเลย