ไมเคิ่ล คาร์ริค กุนซือขัดตาทัพแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำภารกิจได้อย่างดีเยี่ยมเมื่อนำ "ปีศาจแดง" บุกเสมอ เชลซี 1-1 ที่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
     นายใหญ่เลือดผู้ดี โชว์ความใจกล้าด้วยการดร็อป คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ขณะที่ เจดอน ซานโช่ ยังคงได้รับโอกาสเป็นตัวจริง และไม่ทำให้ คาร์ริค ต้องผิดหวังในแมตช์นี้

     ขณะที่ "สิงโตน้ำเงินคราม" ต้องบอกว่าน่าเสียดายแทน เพราะพวกเขาไล่กดไล่บี้ "ผีแดง" แบบโงหัวไม่ขึ้นแต่เพราะความผิดพลาดส่วนบุคคล จนเกือบทำให้ทีมต้องมือเปล่าในบ้านตัวเอง !

1. คาร์ริค กล้าคิดกล้าตัดสินใจ

     สำหรับเกมที่มีความตึงเครียดแบบนี้ถ้าหากเป็น โอเล่ กุนนาร์ โซลชา คงไม่กล้าดร็อป คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แต่ คาร์ริค กล้าทำ เพาะมองแล้วว่าแมตช์นี้พวกเขาคงต้องเล่นรัดกุมเป็นพิเศษ หากต้องการคว้าแต้มกลับเมืองแมนเชสเตอร์

     เหตุผลสำคัญที่ กุนซือขัดตาทัพ ต้องทำแบบนี้เพราะ โรนัลโด้ เพิ่งจะกรำศึกหนักในเกมกลางสัปดาห์ที่ช่วยทีมชนะ บียาร์เรอัล คว้าตั๋วเข้ารอบน็อกเอาต์ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แถมกลางสัปดาห์ยังมีเกมลีกอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ คาร์ริค เลือกที่จะรักษาสภาพความสดของ "เฮียโด้" เอาไว้ดีกว่า

     การตัดสินใจดังกล่าวทำให้ คาร์ริค เลือกใช้ผู้เล่นที่มีความสด และความรวดเร็วอย่าง เจดอน ซานโช่, มาร์คัส แรชฟอร์ด และ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ทำหน้าที่ขับเคลื่อนแนวรุก โดยมี 3 กองกลางตัวรับคอยเป็นกำลังสนับสนุน

     แผนการของ คาร์ริค เกือบสมบูรณ์แบบเมื่อทีมได้ประตูนำจาก ซานโช่ และจากนั้นช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้าย ค่อยส่ง โรนัลโด้ มาคอยยืนค้ำยืนขู่แนวรับ เชลซี ไม่ให้ดันเกมขึ้นสูง แต่น่าเสียดายที่การเล่นแบบโฉ่งฉ่างของ อารอน วาน-บิสซาก้า ทำให้แผนทุกอย่างพังทลาย

     อย่างไรก็ตาม การได้ 1 แต้มที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ถือว่ายอดเยี่ยม หากเปรียบเทียบกับโอกาสของ "สิงห์บลูส์" ที่มีมากกว่า 20 ครั้ง ขณะที่ "ผีแดง" ต้องตั้งรับเกือบตลอดทั้งเกม

2. จัดเครื่องเซ่นให้เทพ เด เคอา

     สำหรับตอนนี้หากจะหานักเตะที่คู่ควรกับคำว่า "เดอะ แบก" หลายคนมองไปที่ โรนัลโด้ แต่จริงๆ แล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด ควรยกย่องคำนี้ให้กับ ดาบิด เด เคอา นายทวารชาวสแปนิช มากกว่า

     แน่นอนว่ามีหลายเกมที่ "เฮียโด้" ยิงประตูสำคัญให้กับ "ผีแดง" แต่หากไม่ได้ความเหนียวหนึบของ เด เคอา ทีมก็อาจจะไม่ได้ผลการแข่งขันที่พวกเขาต้องการก็ได้

     อย่างเช่นในแมตช์นี้ นายด่านเลือดกระทิงดุ โชว์จังหวะเซฟสำคัญช่วยทีมถึง 5 ครั้งในช่วงครึ่งแรก ในขณะที่ เอดูอาร์ เมนดี้ โกลเจ้าบ้านไม่ได้ออกแรงทำอะไรเลย

     สำหรับจังหวะการป้องกันที่เหลือเชื่อของเกมนี้ในช่วง 45 นาทีแรกคงหนีไม่พ้นการใช้ขาสกัดลูกยิงของ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย รวมถึงจังหวะปัดลูกยิงเต็มข้อระยะ 30 หลาของ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ก่อนจะไปชนคาน และการพุ่งปัดปาดมือช่วงนานทีสุดท้ายของครึ่งแรกด้วย

     นอกจากนี้ยังมีจังหวะเซฟเบาๆ อีกหลายครั้ง ฉะนั้นคงต้องบอกว่าทุกวันนี้ แมนฯ ยูฯ เป็นหนี้ความเหนียวหนึบของ เด เคอา จริงๆ เพราะหากไม่มีเขาอันดับในตารางลีกคงหล่นไปมากกว่านี้

3. ซานโช่ เริ่มฉายแสงยอดนักเตะ

     ส่วนนักเตะที่ต้องบอกว่ากลับมาแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวคงหนีไม่พ้น เจดอน ซานโช่ เพราะนับตั้งแต่ที่ คาร์ริค เข้ามาทำหน้าที่แทน "น้าลูกอม" เขาก็ได้รับโอกาสโชว์ศักยภาพมากขึ้น และก็ไม่ทำให้กุนซือต้องผิดหวัง

     หลังจากที่ปลดแอกซัดประตูแลกในสีเสื้อ แมนฯ ยูฯ แมตช์ชนะ บียาร์เรอัล แล้ว ซานโช่ ยังคงทำผลงานได้ฮอตต่อเนื่องด้วยการตะบันตาข่ายในแมตช์เยือนถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์

     ซานโช่ ฉกฉวยโอกาสจากความประมาทของ จอร์จินโญ่ ก่อนจะลากเลื้อยกว่าครึ่งสนามเข้าไปดวลกับ เมนดี้ ซึ่งเขาสามารถส่งให้ แรชฟอร์ด ก็ได้ แต่งานนี้เจ้าตัวกำลังมั่นใจเต็มเปี่ยม ก็เลยโชว์สเต็ปเท้าก่อนส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย

     หลังจากที่วิ่งพล่านตลอด 64 นาที งานนี้ คาร์ริค มองเห็นว่า อดีตสตาร์ "เสือเหลือง" โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เริ่มมีอาการหมดแรง ก็เลยส่ง โรนัลโด้ ลงสนาม งานนี้เชื่อว่าเกมกลางสัปดาห์คงได้เห็นทีเด็ดของ ซานโช่ อีกแน่นอน

4. จากดาวร้ายกลายเป็นฮีโร่

    ใครจะไปคิดว่านักเตะระดับแชมป์ยูโร และแชมป์โทรฟี่ "บิ๊กเอียร์" อย่าง จอร์จินโญ่ จะพลาดแบบไม่น่าพลาดในจังหวะจับบอลที่ต้องบอกว่าเป็นลูกพื้นฐานสำหรับนักฟุตบอลอาชีพ

     จริงๆ แล้วต้องบอกว่าเป็นเพราะความประมาทของ จอร์จินโญ่ แท้ๆ ที่ทำให้ลูกง่ายๆ กลายเป็นลูกยาก เพราะจังหวะที่แมนยู เตะโด่งทิ้งออกมาเกือบกลางสนาม เจ้าตัวควรตัดสินใจโหม่งเคลียร์ หรือเตะทิ้ง แต่ดันกลับติดลูกมั่นใจหวังจับบอลและเล่นต่อ แต่ดันจับบอลลั่นทำให้โดน ซานโช่ ฉกเข้าไปยิงประตู

     เดชะบุญที่จังหวะความผิดพลาดดังกล่าวไม่ได้กลายเป็นตราบาปติดตัวเขา เพราะ จอร์จินโญ่ สามารถแก้ตัวได้หลังทำหน้าที่สังหารจุดโทษช่วยให้ทีมตีเสมอได้สำเร็จ

     จะว่าไปแล้วเกมนี้ จอร์จินโญ่ ก็ทำหน้าที่ของเขาได้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะการคุมแดนกลางจนทำให้แผงมิดฟิลด์ของแมนฯ ยูไนเต็ด เล่นไม่ออก และต้องใช้วิธีการโยนบอลยาว

     งานนี้หากความผิดพลาดดังกล่าวส่งผลให้ "สิงโตน้ำเงินคราม" พ่ายแพ้ แน่นอนว่า จอร์จินโญ่ คงรู้สึกเซ็งไม่น้อย เพราะเกมนี้ เชลซี ไล่บี้ไล่กดดัน "ผีแดง" จนโงหัวไม่ขึ้นแทบทั้งเกม

5. หงส์, เรือยิ้ม! สิงห์สะดุด

     สถานการณ์ในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกในเวลานี้ เพิ่มความเข้มข้นขึ้นมาอีกครั้ง เพราะผลเสมอของ เชลซี ทำให้ตอนนี้ ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขยับเข้ากดดันชนิดหายใจรดต้นคอแล้ว

     การได้เพียง 1 แต้มในบ้านตัวเองถือว่าเสียหายพอสมควรสำหรับ "สิงห์บลูส์" เพราะทำให้พวกเก็บเพิ่มเป็น 30 คะแนนในขณะที่ แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล สามารถเก็บสามแต้มได้ และไล่ตามเหลือแค่ 1 กับ 2 คะแนน ตามลำดับ

     ตอนนี้เข้าสู่ช่วงเดือนธันวาคม ทุกๆ ทีมจะต้องเจอกับโปรแกรมแน่นเอี๊ยดมากยิ่งขึ้น แถมในช่วงปลายปียังมีมหกรรมเกม "บ็อกซิ่งเดย์" ซึ่งนับจากนี้ไป เชลซี ไม่ควรสะดุดทำแต้มหลุดมือเด็ดขาด เพราะไม่อย่างนั้นพวกเขาอาจจะหล่นจากตำแหน่งจ่าฝูงได้ตลอดเวลา