การจับสลากรอบ 16 ทีมสุดท้ายของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ประจำฤดูกาล 2021-22 กลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลกลูกหนัง จากการที่สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) ก่อเรื่องผิดพลาดหลายอย่างระหว่างการจับสลาก อาทิเช่น การจับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปเจอกับ บียาร์เรอัล ทั้งที่ตามกฎแล้วมันเป็นไปไม่ได้จากการที่ทั้งคู่อยู่ในกลุ่มเดียวกันมาก่อน และการไม่ได้เอาบอลที่มีชื่อของ แมนฯ ยูไนเต็ด มาใส่รวมกับกลุ่มที่มีโอกาสเจอกับ แอตเลติโก มาดริด ในตอนแรก
   
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เกิดการฟ้องร้องจากทาง แอต. มาดริด และในเวลาต่อมา ยูฟ่า ก็ยอมรับว่ามันเกิดความผิดพลาดจนทำให้ต้องจับสลากใหม่ "ทั้งหมด" ซึ่งว่ากันว่า เรอัล มาดริด ที่โดนทำให้เปลี่ยนจากการเจอ เบนฟิก้า มาเป็น ปารีส แซงต์-แชร์กแมง นั้น ไม่พอใจอย่างมาก เพียงแต่ไม่สามารถทำอะไรมากไปกว่านั้นได้

เรื่องดังกล่าวทำให้ ยูฟ่า โดนตำหนิและล้อเลียนอย่างรุนแรง เพราะทุกคนมองว่าองค์กรใหญ่ระดับพวกเขาไม่ควรจะมาพลาดง่ายๆ แบบนี้ แถมมันยังเกิดขึ้นในรายการที่ถ่ายทอดสดไปทั่วโลกอีกต่างหาก

อย่างไรก็ตาม ที่จริงในวงการฟุตบอลมันเคยเกิดความผิดพลาดในพิธีจับสลากแบบนี้มาแล้ว แถมยังเกิดขึ้นในงานที่ใหญ่มากๆ ด้วย เพราะมันเป็นการจับสลากแบ่งกลุ่มในศึก ฟุตบอลโลก 1982 รอบสุดท้าย

เกริ่นก่อนว่าตอนนั้นมีการแบ่งทีมเป็น 4 ชุด นั่นคือ ทีมวาง, ทีมจากโถ A, ทีมจากโถ B และทีมจากโถ C โดยแต่ละชุดจะมี 6 ทีม แน่นอนว่ากฎขั้นต้นคือในแต่ละกลุ่มจะประกอบด้วยทีมวาง, ทีมจากโถ A, ทีมจากโถ B และทีมจากโถ C อย่างละ 1 ทีม แต่มันมีเงื่อนไขอีก 1 อย่าง นั่นคือห้ามมีทีมจากทวีปอเมริกาใต้อยู่ในกลุ่มเดียวกันมากกว่า 1 ทีม

ทั้งนี้ อาร์เจนตินา กับ บราซิล ซึ่งอยู่ในส่วน "ทีมวาง" นั้น ถูกจับไปอยู่ในกลุ่ม 3 กับ 6 และด้วยความที่ในโถ B ประกอบไปด้วย เบลเยียม, ฝรั่งเศส, ไอร์แลนด์เหนือ, สกอตแลนด์, ชิลี และ เปรู ทำให้ตอนนั้นมีการกำหนดกันว่าพวกเขาจะเริ่มจับสลากทีมจากโถ B กันก่อนเลย และในตอนแรกมันจะมีการจับเฉพาะ 4 ทีมจากทวีปยุโรป เพื่อที่จะได้หา 2 ทีมไปอยู่ในกลุ่ม 3 ร่วมกับ อาร์เจนตินา และกลุ่ม 6 ร่วมกับ บราซิล แบบอัตโนมัติ จากนั้นค่อยเอา ชิลี กับ เปรู มาร่วมจับสลากตามปกติ

ยกตัวอย่างเช่น ในเมื่อกลุ่ม 3 มี อาร์เจนตินา ยืนรออยู่ มันก็จะมีการจับชื่อทีมใดทีมหนึ่งจากโถ B ระหว่าง เบลเยียม, ฝรั่งเศส, ไอร์แลนด์เหนือ และ สกอตแลนด์ ขึ้นมาเท่านั้น แล้วล็อกให้พวกเขาไปอยู่ในกลุ่ม 3 ทันที เพื่อที่จะได้ใช้โควตาทีมจากโถ B ไปเลย โดยที่ในขณะเดียวกันจะได้ไม่ต้องมีชาติจากทวีปอเมริกาใต้ถึง 2 ชาติอยู่ในกลุ่มเดียวกันไปด้วย จากนั้นฝ่ายจับสลากก็จะจับหนึ่งในอีก 3 ชาติที่เหลือของทวีปยุโรปจากโถ B ขึ้นมา แล้วโยนพวกเขาไปอยู่ในกลุ่ม 6 ร่วมกับ บราซิล ซึ่งพอเสร็จสิ้นในกระบวนการนี้แล้วนั้น พวกเขาก็จะเอาบอลที่มีชื่อของ ชิลี กับ เปรู มาร่วมจับสลากแบบทั่วไป

ในตอนนั้นสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) แจกแจงกฎดังกล่าวกับผู้ร่วมงานและสื่ออย่างดิบดี แต่กลับกลายเป็นว่าพอพวกเขาหยิบชื่อ เบลเยียม มาได้เป็นรายแรกจากกลุ่มของโถ B นั้น พวกเขากลับจับ เบลเยียม ไปอยู่ในกลุ่ม 1 ทั้งที่ตามกฎที่กำหนดเอาไว้ เบลเยียม ต้องไปอยู่ในกลุ่ม 3 ร่วมกับ อาร์เจนตินา แบบอัตโนมัติ

หนึ่งในคนที่ทำพิธีจับสลากในตอนนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น เซปป์ แบล็ตเตอร์ อดีตประธาน ฟีฟ่า ที่ในสมัยนั้นดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการทั่วไปขององค์กรลูกหนังโลก ซึ่งพิธีในครั้งนั้นมีขึ้นที่ประเทศสเปน และมีการให้เด็กๆ มาร่วมพิธีจับสลากด้วย

ทั้งนี้ แบล็ตเตอร์ กับทีมงานของเขายังไม่รู้ว่าทำพลาดไปแล้ว เพราะหลังจากนั้นพวกเขายังจับ สกอตแลนด์ ขึ้นมาแล้วส่งทัพ "ตาร์ตัน" ไปอยู่กลุ่ม 3 อีก ทั้งที่ตามข้อตกลงแล้วนั้นมันควรจะเป็น เบลเยียม ที่ได้อยู่ในกลุ่มนั้น และ สกอตแลนด์ ต้องอยู่ในกลุ่ม 6
   

ในเวลาต่อมาฝ่ายจัดงานก็รู้ตัวว่าพวกเขาทำพลาดไป ส่งผลให้มีการเปลี่ยนเอา เบลเยียม มาอยู่ในกลุ่ม 3 และขยับ สกอตแลนด์ ไปอยู่ในกลุ่ม 6 ตามที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรก โดยพอถึงเวลาแข่งกันจริงๆ แล้วนั้น เบลเยียม ได้เป็นแชมป์ของกลุ่ม 3 เลย ส่วน สกอตแลนด์ ตกรอบจากการเป็นเพียงอันดับ 3 ของกลุ่ม 6

นอกจากความผิดพลาดในการจัดกลุ่มแล้วนั้น พิธีจับสลากฟุตบอลโลก 1982 ยังมีเรื่องที่น่าอับอายมากกว่านั้นอีก เมื่อเกิดเหตุขัดข้องกับกรงขนาดใหญ่ที่ใช้หมุนลูกบอลซึ่งใส่ชื่อของแต่ละชาติเอาไว้ และมีลูกบอลลูกหนึ่งที่หล่นมาแค่ครึ่งเดียว ยังดีที่สุดท้ายทุกอย่างจบลงด้วยดี