มรดกที่ทิ้งไว้ให้ ! วรวีร์ มะกูดี อดีตประมุขบอลไทย ร่วมยินดีช้างศึกครองบัลลังก์แชมป์ซูซูกิ คัพ 2020 ลั่นนี่คือสิ่งที่เคยสร้างไว้สมัยยังเป็นผู้บริหารส.บอลไทย จากความทุ่มเทสร้างลีกฟุตบอลอาชีพให้แข็งแกร่ง จึงส่งผลงให้ทีมชาติไทยยิ่งใหญ่เกรียงไกรได้ ยกย่อง "มาดามแป้ง" เป็นวีรสตรีที่ทุ่มเทสุดกำลัง หลังเห็นแววตั้งแต่อดีตจึงได้เชิญมานั่งเก้าอี้ผู้จัดการทีมบอลหญิง และโชว์ผลงานไปเล่นบอลโลกหญิง 2 สมัยติด ก่อนจะมานั่งผู้จัดการทีมบอลชายและนำความสำเร็จพาทีมคว้าแชมป์ตามเป้า
  
หลังจากที่พลพรรค "ช้างศึก" ทีมชาติไทย ภายใต้การคุมทีมของ "มาโน่ โพลกิ้ง" โดยมี "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ เป็นผู้จัดการทีม สามารถสร้างความสุขให้กับแฟนฟุตบอลชาวไทย ด้วยการเถลิงบัลลังก์แชมป์ลูกหนัง "เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020" ที่ประเทศสิงคโปร์ มาครอบครองได้สำเร็จ เป็นสมัยที่ 6 ในทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์อาเซียน ซึ่งมากที่สุดกว่าชาติอื่น ๆ

ล่าสุด "บังยี" วรวีร์ มะกูดี อดีตเมมเบอร์ฟีฟ่าและอดีตนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งในฐานะประธานบริหารของสโมสรนครราชสีมา มาสด้า เอฟซี ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงความสำเร็จของทีมชาติไทยครั้งนี้ว่า "ขอบคุณน้องๆ นักฟุตบอลทีมชาติไทย ที่ได้นำความสุขและของขวัญล้ำค่าให้ชาวไทยในช่วงปีใหม่ ที่ผ่านมาได้เฝ้าเอาใจช่วยและเชียร์ทุกครั้งที่แข่งขัน ทั้งการแข่งขันในไทยและต่างประเทศ"

"ขอบคุณที่นำความสุข ขอบคุณคณะผู้ฝึกสอน และที่สำคัญอย่างยิ่งคือผู้ที่เข้ามาช่วยทีมชาติไทยในยุคที่กำลังตกต่ำ คือคุณนวลพรรณ ล่ำซำ หรือคุณแป้ง เป็นผู้ที่ทุ่มเทสุดกำลังจนทีมช้างศึกได้คว้าแชมป์มาอีกสมัย คุณแป้งได้เข้ามาร่วมงานด้วยกันตั้งแต่สมัยที่ผมเป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ผมได้เชิญมาเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลหญิง และได้สร้างผลงานระดับนานาชาติคือ ทีมฟุตบอลหญิงชาติไทยได้เข้าไปเล่นฟุตบอลหญิงชิงแชมป์โลกของฟีฟ่า 2 สมัย ถือเป็นผู้มีความสำคัญในวงการฟุตบอลไทยอย่างมาก จนปัจจุบันได้เป็นผู้จัดการฟุตบอลทีมชาติไทย และนำความสำเร็จ กลับมาเป็นเจ้าแห่งอาเซียนอีกครั้ง"

อดีตประมุขบอลไทย ยังพูดถึงการเล่นของทีมชาติไทยด้วยว่า "น่าชื่นใจในการเล่นเป็นทีมเวิร์ค ฟุตบอลทีมชาติไทยจะเล่นอย่างมีประสิทธิภาพได้ นักฟุตบอลต้องมีคุณภาพ มีระเบียบวินัย พัฒนาฝีเท้า ขึ้นมาจากฟุตบอลลีก เมื่อสมัยที่ผมเป็นนายกสมาคมฯ ได้ปฏิรูปฟุตบอลในบ้านเราให้เป็นอาชีพที่มั่นคงถาวร สมาคมฯในยุคนั้นเราได้แยกการบริหารจัดการเป็นอีกองค์กรที่บริหารจัดการฟุตบอลลีกโดยเฉพาะ"

"อีกองค์กรหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือสโมสรสมาชิกที่เราได้ออกกฎระเบียบให้ปรับโครงสร้างให้เป็นสโมสรอาชีพอย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่มีสนามแข่งขันที่ได้มาตรฐานตามระเบียบที่นานาชาติใช้ปฏิบัติกัน และมีการว่าจ้างผู้เล่น มีการทำสัญญาอย่างเป็นระบบเพื่อให้ผู้เล่นได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพ อย่างเต็มรูปแบบเหมือนในต่างประเทศ ซึ่งเราได้นำเอารูปแบบจากประเทศอังกฤษ เยอรมนี และญี่ปุ่น เป็นต้น มาใช้กับระบบการแข่งขันฟุตบอลอาชีพบ้านเรา เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีลีกฟุตบอลอาชีพที่แข็งแกร่ง ก็จะทำให้ทีมชาติของเรามีความแข็งแกร่งขึ้นตามลำดับ ฟุตบอลลีกอาชีพของบ้านเราสามารถพูดได้เต็มปากว่าได้ว่าเป็นอันดับ 1 ของอาเซียนในปัจจุบัน"

"ขอบคุณแต่ละสโมสร ที่สร้างนักเตะอาชีพ เมื่อฟุตบอลอาชีพแข็งแกร่งขึ้น ทีมชาติก็แกร่งขึ้นด้วย เพราะเลือกนักฟุตบอลที่มีคุณภาพมาจากสโมสรที่แข็งแกร่ง มาแข่งในนามทีมชาติ มีพละกำลัง มีระเบียบวินัย มีศักยภาพ สามารถแข่งขันในระดับชาติได้ ดังนั้นทีมชาติที่แข่งแกร่งขึ้นมาได้ ต้องมาจากลีกอาชีพที่แข็งแกร่งและมีระบบสากล”

"บังยี" กล่าวต่ออีกว่า "นักฟุตบอลอาชีพเดี๋ยวนี้มีรายได้ตั้งแต่ 6-8 แสน หรือบางคนได้เป็นล้านบาท สามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้เป็นอย่างดี จะเห็นว่าพ่อแม่ผู้ปกครองนิยมพาลูกหลานมาฝึกฝนให้เล่นกีฬาฟุตบอลตามโรงเรียนฟุตบอลหรือฟุตบอลอะคาเดมีที่มีการเปิดขึ้นอย่างแพร่หลาย ในสมัยที่ผมบริหารสมาคมอยู่นั้นเราได้ลิขสิทธิ์จากการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพได้อย่างมหาศาล เท่าที่จำได้ปี 2557-2559 มีรายได้ปีละ 600 ล้านบาทจากลิขสิทธิ์การถ่ายทอด และปี 2560-2563 มีรายได้เพิ่มขึ้นมาอีกเป็นสัญญาทั้งหมด 4 ปี มีรายได้รวมทั้งสิ้น 4,200 ล้านบาท"

"รายละเอียดคือในปี 2560 มีรายได้ 900 ล้านบาท ปี 2561 มีรายได้ 1,000 ล้านบาท ปี 2562 มีรายได้ 1,100 ล้านบาท และปี 2563 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของสัญญา มีรายได้ 1,200 ล้านบาท ซึ่งรายได้มหาศาลนี้เกิดจากการแข่งขันลีกอาชีพในบ้านเรา ซึ่งสามารถที่จะนำไปใช้พัฒนากีฬาฟุตบอล และสนับสนุนสโมสรสมาชิก และสร้างทีมฟุตบอลทีมชาติไทยให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรได้ นี่คือมรดกที่สมัยที่ผมเป็นผู้บริหารสมาคมกีฬาฟุตบอล ทิ้งไว้ให้วงการฟุตบอลไทยในปัจจุบัน" "บังยี" กล่าวปิดท้าย