ราล์ฟ รังนิก ต้องกลับมาเรียกสมาธิและความมุ่งมั่นของเหล่าขุนพล "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในแมตช์เยือน เบิร์นลี่่ย์ เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์นี้
    
โดยพวกเขาต้องพยายามเก็บชัยชนะให้ได้ เนื่องจากสามคะแนนในเกมนี้จะทำให้ทีมเกาะติดอันดับท็อปโฟร์อย่างเหนียวแน่น ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของ แมนฯ ยูฯ เนื่องจาก "เดอะ โปรเฟสเซอร์" ยอมรับแล้วว่าทีมคงต้องร้างแชมป์อีกหนึ่งซีซั่น

ฉะนั้นการคว้าตั๋วไปลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จึงเป็นสิ่งที่น่าจะพอปลอบประโลมจิตใจสาวก "เร้ด อาร์มี่" ได้บ้าง !!

1. โควิดทำพิษ เฟร็ด, เตลลิส 

สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังคงน่าเป็นห่วงเหมือนเดิม โดยเฉพาะในวงการลูกหนังล่าสุด แมนฯ ยูไนเต็ด หมดสิทธิ์ที่จะได้ใช้งาน อเล็กซ์ เตลลิส และ เฟร็ด สองคู่หูชาวบราซิเลียนทำให้หมดสิทธ์ลงสนามในเกมเยือนเบิร์นลี่ย์อย่างน่าเสียดาย

ทั้งสองคนมีผลตรวจเป็นบวกจากการติดเชื้อไวรัสมรณะ นั่นทำให้พวกเขาจะต้องเข้ารับการกักตัวทันที โดย เตลลิส เพิ่งพลาดเกมที่ "ปีศาจแดง" พ่ายจุดโทษ มิดเดิลสโบรช์ ร่วงตกรอบ 4 ศึกเอฟเอ คัพ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังจากติดโควิดก่อนเกมดังกล่าว

ขณะที่ เฟร็ด ซึ่งลงเล่นเป็นตัวสำรองในเกมกับ "เดอะ โบโร่" ต้องพบกับชะตากรรมเดียวกัน แต่นอกจากจะพลาดเกมกับ เบิร์นลี่ย์ แล้ว เขายังหมดสิทธิ์่ช่วย แมนฯ ยูฯ ในแมตช์รับมือ "นักบุญ" เซาธ์แฮมป์ตัน วันเสาร์นี้ด้วย
 
2. ขุมกำลังพร้อมรบเต็มสูบ

มีข่าวร้ายก็ต้องมีข่าวดีเป็นสัจจะธรรมของโลก โดยสาวก "เร้ด อาร์มี่" คงจะพอยิ้มได้บ้างเมื่อพวกเขาจะได้ เจสซี่ ลินการ์ด และ เอดินสัน คาวานี่ พร้อมที่จะเป็นตัวเลือกให้ ราล์ฟ รังนิก เลือกใช้งานในเกมเยือนถิ่นเทิร์ฟ มัวร์

สำหรับ ราฟาแอล วาราน ตอนนี้สภาพร่างกายฟิตยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า โดยในเกมล่าสุดที่ปะทะกับ มิดเดิลสโบรช์ นั้น ดาวเตะเลือดเฟร้นช์ โชว์ฟอร์มได้อย่างแข็งแกร่ง และพร้อมที่จะจับคู่กับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ในเกมลีกวันอังคารนี้

สำหรับ ปอล ป็อกบา ที่ไม่ได้ลงสนามมานานตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน เพิ่งจะได้เคาะสนิมในเกมปะทะ "เดอะ โบโร่" และผลงานก็ยอดเยี่ยมมากๆ ทั้งมีส่วนในการเรียกจุดโทษให้ทีม และช่วยวิ่งบี้ไล่แย่งบนจนนำไปสู่การได้ประตูขึ้นนำ

แม้เกมกับ มิดเดิลสโบรช์ จะโดนเปลี่ยนตัวออกในช่วง 8 นาทีสุดท้ายก่อนหมดเวลา แต่มั่นใจได้เลยว่าในเกมกับทีมของกุนซือฌอน ไดซ์ เขาจะฟิตเต็มร้อย ที่สำคัญ ป็อกบา คือของแสลงของ เบิร์นลี่ย์ เพราะเขาเคยยิงประตูชัยในบ้านของพวกเขามาแล้ว

3. โรนัลโด้ ต้องหลีกเลี่ยงสถิติย่ำแย่

กองหน้าซูเปอร์สตาร์ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จำเป็นต้องยิงประตูให้ได้ในแมตช์พบ เบิร์นลี่ย์  ให้ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงผลงานสุดย่ำแย่ที่ยิงประตูไม่ได้ติดต่อกันเหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 12 ปีที่ผ่านมา

"ซีอาร์ 7" เพิ่งจะอายุครบ 37 ปี เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ยิงประตูให้กับ "ปีศาจแดง" ไม่ได้เลย 4 แมตช์ติดต่อกัน และล่าสุดก็เพิ่งยิงจุดโทษพลาดในช่วงครึ่งแรกเกมที่แพ้ มิดเดิลสโบรช์ ตกรอบ 4 ศึกเอฟเอ คัพ ในช่วงค่ำคืนวันศุกร์

ด้วยเหตุนี้ในแมตช์ที่ทีมของกุนซือราล์ฟ รังนิก ต้องไปเยือน เบิร์นลี่ย์ เกมลีกวันอังคารนี้ โรนัลโด้ ต้องการที่จะยิงประตูให้ได้ เพื่อหยุดสถิติเลวร้ายเอาไว้ที่ 4 เกม เพราะหากทำไม่สำเร็จนั่นจะทำให้ "เฮียโด้" ซัดประตูคู่แข่งไม่ได้ 5 เกมติดต่อกัน ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วสมัยที่เล่นให้ เรอัล มาดริด เมื่อปี 2010

ย้อนไปเหตุการณ์เมื่อ 10 ปีที่แล้วที่ โรนัลโด้ ยิงประตูไม่ได้ติดต่อกัน 5 เกมรวด เริ่มจากแมตช์สุดท้ายในซีซั่น 2009/2010 ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกของเขากับ "ราชันชุดขาว" ที่ปะทะกับ มาลาก้า จากนั้นในฤดูกาลถัดมา เจ้าตัวซัดไม่ได้เลยในเกม ลา ลีกา แมตช์ที่พบ มายอร์ก้า, โอซาซูน่า, เรอัล โซเซียดาด และ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม (เกมยุโรป)

4. เพิ่มความเฉียบคมในเกมรุก

ตอนนี้หากพูดกันตามเนื้อผ้าต้องยอมรับว่า รังนิก เข้ามาปรับปรุง แมนฯ ยูไนเต็ด ดีขึ้นในระดับหนึ่งโดยเฉพาะเกมรุก เพราะพวกเขาทำผลงานได้โดดเด่นยิ่งขึ้นมากกว่าตอนที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา หรือ ไมเคิ่ล คาร์ริค กุมบังเหียน

นับตั้งแต่ที่ "เดอะ โปรเฟสเซอร์" เข้ามานั่งเก้าอี้นายใหญ่ "ปีศาจแดง" มีแนวทางการเล่นเกมบุกที่น่าสนใจมากๆ และมีรูปแบบการเล่นที่ดุดัน แต่สิ่งที่พวกเขาขาดไปก็คือความเฉียบคมในการจบสกอร์

ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือเกมปะทะ มิดเดิลสโบรช์ พวกเขาสร้างโอกาสยิงประตูเยอะมาก โดยยิงถึง 20 ครั้งในกรอบเขตโทษ แล้วยังมีโอกาสชัดเจนถึง 10 ครั้ง แต่กลายเป็นว่ายิงได้แค่ประตูเดียวเท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้เกิดผลเสียอย่างมาก และนำไปสู่การต้องพ่ายแพ้ให้กับทีมดังในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ

ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ รังนิก จะออกมากระตุ้นลูกทีมต้องสามารถฉกฉวยโอกาสในการทำประตูให้ได้ เพราะหากทำไม่สำเร็จทีมจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์กดดัน และอาจนำไปสู่การขาดความมั่นใจในการเล่นด้วย

5. เป้าหมายหลักคือท็อปโฟร์

ท่านปรมาจารย์ ดูเหมือนจะยอมรับความจริง และประกาศยกธงขาวเรื่องโอกาสคว้าแชมป์ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลนี้แล้ว เพราะดูเหมือนว่าการที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จมันแทบไม่เหลือแล้ว

เหตุผลที่ รังนิก คิดแบบนั้นเนื่องจากเกมเอฟเอ คัพ คือความเป็นไปได้สูงสุดที่ "ปีศาจแดง" จะคว้าแชมป์ได้ แต่สุดท้ายดันตกรอบไปตั้งแต่ไก่โห่ ส่วนเรื่องการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ต้องบอกว่ายากยิ่งกว่าหลายเท่า เนื่องจากมีทีมประเภทเสือ, สิงห์, กระทิง, แรด เต็มไปหมด

การที่นายใหญ่เลือดด๊อยท์ชคิดแบบนั้นอาจทำให้เหล่าแฟนพันธุ์แท้  "เร้ด เดวิลส์" ไม่พอใจเพราะดูเหมือน รังนิก จะยอมแพ้แบบไม่สู้ แต่หากมองจากความเป็นจริงสิ่งที่เขาพูดมันคือความจริงกว่า 90 เปอร์เซนต์

ด้วยเหตุนี้เป้าหมายสำคัญของ สโมสรเจ้าของแชมป์ลีกสูงสุด 20 สมัย ก็คือการที่จะต้องติดอันดับท็อปโฟร์ให้ได้ เพราะหากไม่สำเร็จนี่จะเป็นฤดูกาลที่สุดเลวร้ายของพลพรรค "ผีแดง" อย่างแท้จริง

ฉะนั้นหากพวกเขาไม่ได้แชมป์เลยในปีนี้ ทีมจะไร้โทรฟี่นานถึงห้าปีติดต่อกันอันเป็นสถิติที่แย่ที่สุดของสโมสรต่อการร้างถ้วยแชมป์อย่างยาวนานนับตั้งแต่พวกเขาตกชั้นจากดิวิชั่นหนึ่งเดิมในซีซั่น 1973/74 ก่อนเลื่อนชั้นได้สำเร็จในเวลาแค่ปีเดียว