เจอร์เก้น คล็อปป์ เตรียมนำลูกทีมกลับสู่การลุ้นความสำเร็จในรายการต่อไป เมื่อพวกเขามีคิวต้องรับมือ นอริช ซิตี้ ในศึกเอฟเอ คัพ รอบ 16 ทีมสุดท้าย (รอบ 5) ที่สนามแอนฟิลด์ วันพุธที่ 2 มีนาคมนี้ โดยเหล่าทัพ "หงส์แดง" กำลังอยู่ในช่วงเต็มไปด้วยความมั่นใจหลังคว้าแชมป์คาราบาว คัพ ในขณะที่ทีมเยือนผลงานที่ผ่านมา 5 เกมในทุกรายการชนะแค่แมตช์เดียวเท่านั้น แถมการบุกมาเยือนดินแดนเมอร์ซี่ย์ไซด์ก็เป็นงานสุดหินของพวกเขา กระนั้น "เดอะ เร้ดส์" ในยุค คล็อปป์ ค่อนข้างจะเจออาถรรพ์ในเกมฟุตบอลถ้วยเก่าแก่ที่สุดในโลก  เพราะไม่เคยไปได้ไกลกว่ารอบ 5 งานนี้เจ้าบ้านต้องการที่จะลบสถิติย่ำแย่นี้ให้ได้

1. ความคึกหลังคว้าแชมป์คาราบาว คัพ

    ตอนนี้ต้องบอกเลยว่าขุมกำลังลิเวอร์พูลเต็มไปด้วยความคึกสุดๆ เพราะพวกเขาเพิ่งจะผงาดคว้าแชมป์คาราบาว คัพ แน่นอนว่ากำลังใจของเหล่าบรรดาแข้ง "หงส์แดง" คงเต็มไปด้วยความฮึกเหิมสุดๆ และพวกเขาต้องการสานต่อความสำเร็จทันที ที่สำคัญการพบกับ นอริช ซิตี้ ในเกมนี้ ต้องบอกว่าไม่ได้หนักหนามากนัก

    ฉะนั้นนี่เป็นโอกาสทองที่พวกเขาจะสร้างโมเมนตัมในการคว้าชัยชนะอย่างต่อเนื่อง เพราะนี่เป็นประเด็นสำคัญมากๆ ในการเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ ในการลุ้นความสำเร็จที่เหลืออีก 3 รายการในฤดูกาลนี้

 2. โอกาสของกำลังสำรองและดาวรุ่ง

    แมตช์นี้หลายคนมองว่ามีความเป็นไปได้สูงมากๆ ที่ คล็อปป์ จะเลือกพักผู้เล่นตัวหลักที่เพิ่งกรำศึกหนักเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และให้โอกาสกำลังสำรองกับพวกดาวรุ่งได้ลงไปเฉิดฉาย

    อย่าลืมว่าในแมตช์ปะทะกับ เชลซี นักเตะ "เดอะ เร้ดส์" ต้องสู้กันคู่แข่งไปจนถึงฎีกาจุดโทษ แน่นอนร่างกายของพวกเขายังไม่ฟื้นสภาพเต็มร้อย

    ด้วยเหตุนี้ นายใหญ่ชาวเยอรมัน คงมีการโรเตชั่นทีมตั้งแต่แดนหลังยันกองหน้า นอกจากนี้สาวก "เดอะ ค็อป" คงจะได้เห็น "มหาเทพ" ดิว็อค โอริกี้ กับ "ซามูไรผู้เสียสละ" ทาคุมิ มินามิโนะ ลงเป็นตัวจริง

 3. เอฟเอ คัพ ถ้วยที่ คล็อปป์ เจองานหนักเสมอ

    คล็อปป์ ทำผลงานได้อย่างสุดยอดนับตั้งแต่ที่เข้ามาทำงานกุมบังเหียน ลิเวอร์พูล เมื่อเดือนตุลาคม 2015 แต่กระนั้นเขายังไม่สามารถสร้างฟอร์มที่สุดยอดในการเล่นถ้วยเอฟเอ คัพ ได้เลย หาก "หงส์แดง" คว้าชัยชนะในเกมค่ำคืนวันพุธนี้ นั่นหมายความว่ากุนซือเลือดด๊อยท์ช สามารถสร้างผลงานชั้นยอดในการแข่งขันรายการนี้สำหรับเขา

    แต่ก่อนจะถึงกรณีนั้น คล็อปป์ ไม่ค่อยถูกโฉลกกับ เอฟเอ คัพ เพราะเขาไม่เคยนำทีมผ่านไปได้ไกลกว่ารอบ 5 โดยตกรอบ 3 หนึ่งครั้ง และรอบ 4 ถึงสี่ครั้ง มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่ "เดอะ เร้ดส์" ทะลุเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในยุคที่ กุนซือวัย 54 ปีคุมทัพ

    ซึ่งเกิดขึ้นในฤดูกาล 2019/2020 แต่สุดท้ายก็โดน เชลซี เขี่ยตกรอบคาสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ ดังนั้นหากพวกเขาสามารถผ่าน "นกขมิ้นเหลืองอ่อน"ไปได้ น่าจะเป็นฤทธิ์งามยามดีในการลุ้นความสำเร็จฟุตบอลถ้วยเก่าแก่ที่สุดในโลกก็ได้

 4. แอนฟิลด์ ยังเต็มไปด้วยมนต์ขลัง

    ลิเวอร์พูล อาจจะทำผลงานไม่ค่อยดีนักในศึกเอฟเอ คัพ ช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่พวกเขามีสถิติที่ยอดเยี่ยมมากๆ ในการเล่นที่แอนฟิลด์ โดย "เดอะ เร้ดส์" แพ้แค่สองเกมเท่านั้นในบ้านตัวเองกับการแข่งขันรายการนี้นับตั้งแต่ปี 2010 โดยแพ้ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส 1-2 (ฤดูกา 2016/2017 และ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 2-3 (ฤดูกาล 2017/2018)

    ฉะนั้น แอนฟิลด์ ยังคงเป็นสนามที่ทำให้บรรดาทีมเยือนต้องหวาดหวั่น แถมในแมตช์นี้ นอริช ที่ผลงานก็ไม่ค่อยดีเด่อะไรอยู่แล้วในลีก แถมในการเจอกันเองในซีซั่นนี้ 3 แมตช์ (พรีเมียร์ลีก กับ คาราบาว คัพ) พวกเขาโดยยิงสามประตูทุกเกม

    งานนี้การต้องบุกมาเยือนถิ่นเมอร์ซี่ย์ไซด์พร้อมสถิติที่ไม่ค่อยดีนัก  คงทำให้ นอริช ต้องเจอกับแรงกดดันมหาศาลเลยทีเดียว 

5. เส้นทางสู่ประวัติศาสตร์ 4 แชมป์

    ตอนนี้คงไม่ใช่เรื่องผิดอะไรหากสาวก "เดอะ ค็อป" จะวาดฝันเห็นทีมรักผงาดคว้าแชมป์ 4 รายการในฤดูกาลนี้ เพราะตอนนี้ทีมคว้าไปแล้ว 1 โทรฟี่

    ขณะที่ในพรีเมียร์ลีก ก็กำลังไล่บี้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่างเมามัน สำหรับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก โอกาสเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ ก็น่าจะมีสูง หลังบุกชนะ อินเตอร์ มิลาน เกมแรก 2-0 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย

    กระนั้นสิ่งที่ คล็อปป์ ต้องการเน้นย้ำลูกทีมก็คือให้มีสมาธิกับปัจจุบันไม่ใช่อนาคต หรือการเพ้อฝัน เพราะหากผลงานในปัจจุบัน

    ไม่ดี อนาคตก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จ แต่หาก "หงส์แดง" สามารถผ่าน นอริช ไปได้ เชื่อว่าแฟนบอลทุกคนคงจะยิ่งเริ่มคิดเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะเห็นสโมสรสร้างประวัติศาสตร์ !!!