สมาชิกส่วนใหญ่ของ บาร์เซโลน่า มีมติเห็นชอบให้สโมสรขายเปอร์เซ็นต์จากธุรกิจค้าปลีกบางส่วน และรายได้จากค่าลิขสิทธิ์ทางโทรทัศน์ส่วนหนึ่ง เพื่อที่ทีมจะได้มีรายได้มากกว่าเดิมจนส่งผลให้สามารถเสริมทัพอย่างเต็มที่ได้ตามไปด้วย โดย โจน ลาปอร์ต้า บิ๊กบอสของทีมเปรียบเปรยว่าตอนนี้ บาร์เซโลน่า ก็เป็นเหมือนรถสูตรหนึ่งที่แทบจะไม่เหลืออะไรให้ใช้วิ่งอีกแล้ว
  
สมาชิกของ บาร์เซโลน่า มีมติเห็นด้วยในการให้สโมสรขายเปอร์เซ็นต์จากธุรกิจค้าปลีกบางส่วน และรายได้จากค่าลิขสิทธิ์ทางโทรทัศน์ส่วนหนึ่ง เพื่อที่ทีมจะได้มีการเงินที่ดีพอสำหรับการเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์นี้ได้

ตลอดเวลาที่ผ่านมา บาร์เซโลน่า เจอกับปัญหาด้านการเงินอย่างรุนแรง โดยเป็นผลกระทบจากการบริหารทีมในยุคของ โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว ซึ่งมันก็ส่งผลกับการทำทีมตามไปด้วย อย่างเช่นการที่พวกเขาต้องยอมแยกทางกับ ลิโอเนล เมสซี่ เมื่อช่วงซัมเมอร์ ปีก่อน และการที่ไม่สามารถซื้อแข้งใหม่ได้ง่ายๆ เป็นต้น

กระทั่งเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน ที่ผ่านมา บาร์เซโลน่า ได้จัดการประชุมกับบรรดาสมาชิกของสโมสรเพื่อหารือเรื่องอนาคตของทีม หลังจากการจะดำเนินมาตรการใดๆ ก็ตามได้นั้นมันจำเป็นต้องได้รับการเห็นชอบจากเสียงส่วนใหญ่ซะก่อน ซึ่งสุดท้ายก็มีการลงมติอนุมัติให้สโมสรขายเปอร์เซ็นต์จาก บาร์เซโลน่า ไลเซนส์ซิ่ง แอนด์ เมอร์แชนไดส์ซิ่ง หรือธุรกิจค้าปลีกของสโมสรเป็นจำนวน 49.9 เปอร์เซ็นต์ โดยในประเด็นนี้มีคนโหวตเห็นด้วย 568 คน, คัดค้าร 65 คน และไม่ลงคะแนน 13 ราย นอกจากนี้ ยังมี 494 คนที่โหวตเห็นด้วยกับการให้ขายรายได้ลิขสิทธิ์ทางโทรทัศน์สูงสุด 25 เปอร์เซ็นต์ เป็นระยะเวลา 25 ปีด้วย โดยในหัวข้อนี้มีคนคัดค้าน 62 ราย และงดออกเสียง 13 คน

ด้าน โจน ลาปอร์ต้า ประธาน บาร์เซโลน่า บอกว่าดีลทั้งหมดนี้อาจจะทำเงินให้กับสโมสรได้เป็นจำนวน 600-700 ล้านยูโร (ประมาณ 22,200-25,900 ล้านบาท) ซึ่งหากเป็นในกรณี 600 ล้านยูโรนั้น แม้ว่ามันจะยังถือว่าไม่ตรงตามเงื่อนไขของ ลา ลีกา จนทำให้พวกเขายังต้องใช้เงินกับการเสริมทัพได้เพียง 1 ใน 4 ของรายได้ทั้งหมด แต่ "อาซูลกราน่า" ก็สามารถเอาตัวรอดจากกฎนั้นได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมหากสามารถลดภาระค่าเหนื่อยลงได้ และหากทำเงินได้ 700 ล้านยูโรจริงๆ พวกเขาก็จะสามารถใช้เงินเสริมทัพตามปกติได้เหมือนกับทีมอื่นๆ โดยที่ไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องค่าเหนื่อยเลย

ทั้งนี้ ลาปอร์ต้า กล่าวก่อนที่จะมีการลงมติด้วยว่า "ตอนนี้ บาร์ซ่า เป็นเหมือนรถ ฟอร์มูล่า 1 ที่ไม่มีเชื้อเพลิงและมีเครื่องยนต์ที่ใช้การไม่ได้แล้ว เราจำเป็นต้องดำเนินธุรกิจแบบนี้เพราะเราขาดทุนมาหลายต่อหลายปี เรารับสืบทอดสถานการณ์ที่ยากลำบากมา"