ในที่สุด ลิเวอร์พูล ก็กลับสู่เส้นทางแห่งชัยชนะได้อย่างชัดเจนด้วยการบุกไปพิชิต สเปอร์ส 2-1 คว้าชัยเกมลีกนัดแรกของซีซั่นได้เป็นที่เรียบร้อยจากการลงสนามเมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 พ.ย.

ในทางกลับกัน ไก่เดือยทอง เหมือนจะเริ่มมีฟอร์มที่แกว่งไปแกว่งมาหาความแน่นอนได้ลำบากขึ้นทุกทีเนื่องจากเสียประตูง่าย และเยอะมากผิดปกติจนเป็นเรื่องยากอยู่เหมือนกันที่จะเชื่อได้ว่าพวกเขาจะมีความสำเร็จติดมือหรือไม่หลังจากจบซีซั่น

1. หงส์แดง กลับคืนสู่ความลงตัว

ถึงตอนนี้ บอกได้เลยว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ ควานหาความลงตัวให้กับ ลิเวอร์พูล ได้อีกหนแล้วว่าพวกเขาสมควรเล่นในระบบ 4-3-3 เหมือนที่เคยเป็นมานั่นเอง

เริ่มจากเกมเอาชนะ นาโปลี ในบ้านจากการทำศึกถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก และมาต่อด้วยเกมบุกไปเยือน สเปอร์ส ซึ่งกุนซือชาวเมืองเบียร์วางหมากให้ ดาร์วิน นูนเญซ กลับมาเป็นตัวจริงในตำแหน่งปีกซ้าย และมี โม ซาลาห์ เป็นตัวอันตรายทางด้านขวา ขณะที่  โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ เล่นอยู่ตรงกลาง

รวมแล้วจากเกมกลางสัปดาห์ ลิเวอร์พูล ปรับทัพสามจุดโดยส่ง นูนเญซ ,แอนดี้ โรเบิร์ตสัน และ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ลงเล่นเป็นตัวจริงบุกไปเยือนทีมเมืองกรุงแทนที่ คอสตาส ซิมิคาส , เคอร์ติส โจนส์ และ เจมส์ มิลเนอร์ จอมเก๋าสารพัดประโยชน์ซึ่งมีอาการกระทบกระเทือนที่ศีรษะ

2.ไก่เดือยทอง เข้าสู่โหมดป่วย

จากโผรายชื่อนักเตะ หากจะเทียบกันต้องถือว่า สเปอร์ส เป็นรองมากพอสมควรเนื่องจาก อันโตนิโอ คอนเต้ กุนซืออิตาเลี่ยนขาดนักเตะคนสำคัญในแผงรุกไปพร้อมๆกันหลายราย

ไม่ว่าจะเป็น ริชาร์ลิซอน , ซน  ฮึง มิน และ ลูคัส มูร่า ซึ่งสองรายหลังเจ็บจากเกม แชมเปี้ยนส์ลีก นัดบุกไปเอาชนะ มาร์กเซย์ ด้วยกันทั้งคู่จึงทำให้ ไก่เดือยทอง ต้องใช้งาน เอเมอร์สัน รอยัล กับ อีฟส์ บิสซูม่า ปะทะกับ เร้ด แมชีน รวมเป็นการโรเตชั่นทีมสองจุด

เมื่อเป็นซะอย่างนี้ ทีมเมืองกรุงจึงเหลือแค่ แฮร์รี่ เคน เป็นความหวังสำคัญในการสอยตาข่ายแค่รายเดียวเท่านั้น แต่ยังดีที่ เดยัน คูลูเซฟสกี้ มิดฟิลด์ตัวรุกชาวสวีดิชฟิตพอที่จะมีชื่อนั่งเป็นตัวสำรอง

3.สถิติฟ้อง หงส์ ปิดประตูแพ้

หลังจบครึ่งแรกที่ ท๊อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ สเตเดี้ยม ลิเวอร์พูล ก็บุกมานำ สเปอร์ส ได้อย่างน่าอุ่นใจถึงสองประตูจากฝีเท้าของ โม ซาลาห์ คนเดียว

เพียงเท่านี้ก็แทบการันตีได้เลยว่าชัยชนะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมของทีมจาก แอนฟิลด์ เนื่องจากสถิติที่ผ่านมามันฟ้องเอาไว้อย่างนั้น

ด้วยเพราะผ่านมาถึงเกมล่าสุดนี้ ลิเวอร์พูล สานต่อสถิติที่น่าเกรงขามไม่แพ้ใน พรีเมียร์ลีก อย่างยาวนานเป็นนัดที่ 113 ติดต่อกันแล้วหากพวกเขามีสกอร์นำหน้าคู่แข่งก่อนในครึ่งแรก สุดแท้แต่ว่าลงเอยแล้วพวกเขาจะเก็บได้สามแต้มเต็ม หรือว่าต้องแชร์แต้มให้กับฝ่ายตรงข้าม

ต่อผลงานที่ว่านี้ หงส์แดง สามารถกำชัยได้รวมทั้งสิ้น 103 นัด และเสมอแค่ 10 นัดเท่านั้นโดยครั้งสุดท้ายที่พวกเขานำหน้าคู่แข่งในครึ่งแรก แต่จบลงด้วยความพ่ายแพ้เป็นเกมที่ปราชัยให้กับ บอร์นมัธ 4-3 เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2016

4.คล็อปป์ ขึ้นนำ คอนเต้

ก่อนหน้านี้สองกุนซือยอดฝีมือมีผลงานการดวลกันที่สูสีมากเนื่องจากไม่มีใครเหนือกว่าใครจากหกเกมที่ผ่านมาในการทำศึก พรีเมียร์ลีก

โดยเฉพาะซีซั่นก่อน ทั้งคู่ก็กินกันไม่ลงโดยก่อนช่วงคริสต์มาส สเปอร์ส เปิดบ้านเสมอกับ ลิเวอร์พูล 2-2 และถัดมานัดสองที่ แอนฟิลด์ พวกเขาก็เสมอกัน 1-1 ในเดือนพ.ค.

จึงเท่ากับว่า คล็อปป์ กับ คอนเต้ ชนะและแพ้กันคนละนัด ขณะที่อีกสี่นัดจบลงด้วยการเสมอกัน

กระทั่งล่าสุด ผู้จัดการทีมชาวเมืองเบียร์ขึ้นนำกุนซืออิตาเลี่ยนไปก่อนแล้วจากผลงานการปะทะกันทั้งสิ้น 7 นัด แต่บอกได้เลยว่า คอนเต้ ไม่มีทางปล่อยให้ คล็อปป์ หนีไปไกลแน่จากที่เราได้เห็นกันว่า สเปอร์ส โหมบุกใส่ ลิเวอร์พูล อย่างหนักหลังโดนนำไปก่อนในครึ่งแรกสองประตู แม้สุดท้ายแล้ว ไก่เดือยทอง จะทำได้ดีที่สุดแค่ตีไข่แตกเท่านั้นก็ตาม

พร้อมกันนี้ ชัยชนะที่มีต่อ สเปอร์ส ในเกมเมื่อวันอาทิตย์ยังเป็นการชนะเกมเยือนนัดที่ 250 พอดีด้วยของ ลิเวอร์พูล ในทุกรายการภายใต้การคุมทีมของ คล็อปป์ ซึ่งพา หงส์แดง ลงเล่นเป็นเกมที่ 401 ของเขา

5.สถิติหลังเกม

สเปอร์ส แพ้ในเกมลีกนัดเหย้าสองนัดติดต่อกันเป็นครั้งที่สองในยุคของ คอนเต้ โดยครั้งแรกเกิดขึ้นในเดือนก.พ.(นัดดวลกับ เซาธ์แฮมป์ตัน และ วูล์ฟส์) โดยก่อนหน้าที่จะเสียสถิตินี้ ไก่เดือยทอง ชนะเกมเหย้าในลีกแปดนัดรวด

สเปอร์ส ไม่ชนะ ลิเวอร์พูล ในเกมลีกเลยตลอดการเผชิญหน้ากันสิบนัดหลัง (เสมอ 3 แพ้ 7) ซึ่งเป็นสถิติที่แย่ที่สุดของสโมสรเทียบเท่ากับช่วงที่พวกเขาไม่ชนะ หงส์แดง ในลีกนานถึงสิบนัดเมื่อเดือนก.ย.1976

ลิเวอร์พูล ชนะเกมเยือนในลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่พวกเขามีชัยเหนือ เซาธ์แฮมป์ตัน 2-1 ยุติผลงานที่เลวร้ายเอาไว้ที่ห้านัด (เสมอ 2 แพ้ 3)

เป็นครั้งแรกที่ สเปอร์ส เสียประตูในครึ่งแรกของเกมลีกนัดเหย้าสองเม็ดขึ้นไปสองนัดติดต่อกัน และพวกเขาพ่ายคารังทั้งสองนัดให้กับ นิวคาสเซิ่ล และ ลิเวอร์พูล ด้วยสกอร์ 2-1 เช่นกัน