สองชาติจากยุโรปดีกรีอดีตแชมป์โลกทั้ง เยอรมัน และ สเปน ต่างวางเป้าหมายผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ แม้มีขวางหนามสำคัญอย่าง "ซามูไร" ญี่ปุ่น ที่พร้อมสวมบทตัวแปรกลุ่มนี้ ไปทำความรู้จักทั้งสี่ทีมชาติร่วมกลุ่ม อี กันดีกว่า

คอสตาริกา

พวกเขาเคยไปไกลสุดถึงรอบก่อนรองฯ เมื่อปี 2014 ที่ประเทศบราซิล แต่ต้องยอมรับว่า บอลโลกหนนี้ คอสตาริกา ซึ่งผ่านเข้ามาเล่นจากการเตะเพลย์ออฟ (ชนะ นิวซีแลนด์ 1-0) ดันถูกจับอยู่กลุ่มสุดหิน ดูเป็นรองคู่แข่งในกลุ่มทั้งหมด ทำให้โอกาสผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์มีน้อยมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นฟุตบอลอะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะทีมของ หลุยส์ เฟร์นานโด ซัวเรซ กุนซือชาวโคลอมเบีย มีทีมเวิร์คที่ดี, เล่นด้วยกันมานาน แถมมีประสบการณ์สูงหลายคน

สตาร์ประจำทีม : เกย์ลอร์ นาวาส

ยอดผู้รักษาประตูวัย 35 ปี จาก ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ถือเป็นซูเปอร์สตาร์ประจำทีมอย่างไม่ต้องสงสัย และนับเป็นผู้เล่นระดับเวิลด์คลาสเพียงคนเดียวในทัพ "ลอส ติกอส" เลยก็ว่าได้ ดังนั้นบอลโลกหนนี้ คอสตาริกา จะทำผลงานได้ดีแค่ไหน คงขึ้นอยู่กับฟอร์มของ นาวาส เป็นปัจจัยสำคัญ เพราะดูแล้วเจ้าตัวโดนทดสอบหนักแน่

โอกาสเข้ารอบน็อกเอาต์ : 20 เปอร์เซนต์

++++++++++++++

เยอรมัน

ถึงแม้ไม่ได้ถูกมองเป็นเต็งแชมป์ลำดับต้นๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า "อินทรีเหล็ก" แชมป์ 4 สมัย มีมาตรฐานที่สูงเสมอ ต่อให้บอลโลกหนก่อน (ปี 2018 ที่ประเทศรัสเซีย) ที่เล่นในฐานะแชมป์เก่า จอดป้ายตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มแบบสุดช็อกก็ตาม โดยทีมของกุนซือ ฮันซี่ ฟลิค ชุดนี้ ถือว่ามีส่วนผสมที่ลงตัว ระหว่างผู้เล่นพลังหนุ่มกับเก๋าประสบการณ์ แถมมีฮีโร่จากชุดแชมป์โลกเมื่อปี 2014 อย่าง มาริโอ เกิทเซ่ ติดทัพด้วย แม้อยู่ในกลุ่มที่ไม่ง่าย แต่ เยอรมัน ซึ่งอุดมไปด้วยนักเตะชั้นยอด คงมีดีพอที่จะผ่านจากรอบแบ่งกลุ่มครั้งนี้ได้

สตาร์ประจำทีม : โธมัส มุลเลอร์

ยอดตัวรุกจาก บาเยิร์น มิวนิค วัย 33 ปี มีความสำคัญมากๆ ต่อการเล่นเกมรุกของทีม แม้ไม่ใช่นักเตะที่มีลีลาการเล่นสวยงามและพลิ้วไหว แต่ มุลเลอร์ ทดแทนด้วยการที่มีเซนส์บอลอันสุดยอด, การอยู่ถูกที่ถูกเวลา และที่สำคัญคือ เจ้าตัวมีทีเด็ดทั้งเรื่องการทำประตู (44 ประตู จาก 118 นัด) และแอสซิสต์ และด้วยการที่บอลโลกครั้งนี้น่าจะเป็นบอลโลกหนสุดท้ายสำหรับ มุลเลอร์ ด้วย เชื่อเหลือเกินว่า ดาวเตะอารมณ์ดีคนนี้ ใส่เต็มร้อยแน่นอน 

โอกาสเข้ารอบน็อกเอาต์ : 60 เปอร์เซนต์ 

+++++++++++++

ญี่ปุ่น

ถือเป็นชาติที่วงการฟุตบอลพัฒนาไม่หยุด จนตอนนี้แทบจะพูดได้เต็มปากเลยว่า ญี่ปุ่น เป็นชาติลูกหนังระดับโลกเรียบร้อย และทีม "ซามูไรบลู" ภายใต้การนำทัพของกุนซือ ฮาจิเมะ โมริยาสึ ชุดนี้ มีถึง 19 คนที่ค้าแข้งในยุโรป แถมหลายคนเป็นตัวหลักที่สโมสรตัวเองด้วย คงไม่ใช่เรื่องเกินเลยที่จะบอกว่า ญี่ปุ่น ถือเป็นทีมอันตรายสำหรับกลุ่มนี้ เพราะพวกเขามีศักยภาพที่จะลุ้นแย่งคะแนนจาก สเปน และ เยอรมนี ได้ ซึ่งหากทำได้จริง พวกเขามีลุ้นผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์แน่นอน

สตาร์ประจำทีม : ไดจิ คามาดะ

หาก เยอรมนี มี โธมัส มุลเลอร์... มุลเลอร์ ของ ญี่ปุ่น ก็คือ คามาดะ ดีๆ นี่เอง แม้ทีมชุดนี้มีแข้งดาวดังอย่าง ทาคุมิ มินามิโนะ (อาแอส โมนาโก), ทาเคฮิโระ โทมิยาสึ (อาร์เซน่อล) และแข้งฟอร์มฮอตอย่าง คาโอรุ มิโตมะ (ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน) แต่อยากให้โฟกัสไปที่ คามาดะ มากกว่า เพราะฤดูกาลนี้ มิดฟิลด์ตัวรุกวัย 26 ปี จาก ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต ฟอร์มเด่นเหลือเกิน โดยกระทุ้งไปแล้วถึง 12 ประตู จากการลงเล่นรวมทุกรายการ 22 นัด แถมฤดูกาลก่อนเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญช่วย แฟร้งค์เฟิร์ต ผงาดคว้าแชมป์ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก มาครองด้วย ด้วยความสามารถอันยอดเยี่ยมทั้งทำประตูและแอสซิสต์ บอกได้เลยว่า คามาดะ คือหนึ่งในนักเตะที่น่าจับตามองในบอลโลกหนนี้

โอกาสเข้ารอบน็อกเอาต์ : 40 เปอร์เซนต์ 

+++++++++

สเปน

ทัพ "กระทิงดุ" ของกุนซือ หลุยส์ เอ็นรีเก้ ชุดนี้ ถือเป็นชุดที่มีแข้งพลังหนุ่มเป็นแกนหลัก ซึ่งถือว่าน่าสนใจอย่างมาก และต้องชื่นชมความเด็ดเดี่ยวของ เอ็นรีเก้ ที่เลือกมองข้ามแข้งบิ๊กเนมอย่าง เซร์คิโอ รามอส, ติอาโก้ อัลกันตาร่า และ ดาบิด เด เคอา โดยถึงแม้เป็นทีมที่ปราศจากนักเตะระดับโลก แต่ก็ยังคงเป็น สเปน ที่น่ากลัว และเปี่ยมไปด้วยความสามารถเฉพาะตัวอันยอดเยี่ยมตามแบบฉบับบอลกระทิงดุ หากผ่านจากรอบแบ่งกลุ่มได้ พวกเขาก็อาจจะไปได้ไกลเกินคาด เหมือนกับตอน ยูโร 2020 ที่ไปถึงรอบตัดเชือก

สตาร์ประจำทีม : เปดรี้

เกมแดนกลางมีความสำคัญอย่างมากต่อ สเปน และ เปดรี้ ถือเป็นหัวใจสำคัญในการคุมจังหวะ ทั้งการผ่านบอล, เก็บบอล และการแทงบอลทะลุช่องไปยังพื้นที่อันตราย ซึ่ง ดาวเตะร่างเล็กวัย 19 ปี เด่นในเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว และบอลโลกครั้งนี้ถือเป็นบททดสอบที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับเจ้าตัว