ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » พรีเมียร์ลีก อังกฤษ » "หงส์แดง" ต้องรอด! 5 สิ่งที่ คล็อปป์ ต้องทำเพื่อเตรียมรับโปรแกรมโหดหลังฟีฟ่าเดย์

"หงส์แดง" ต้องรอด! 5 สิ่งที่ คล็อปป์ ต้องทำเพื่อเตรียมรับโปรแกรมโหดหลังฟีฟ่าเดย์

Posted 18/03/2023 by siamsport

เจอร์เก้น คล็อปป์ และลูกทีมลิเวอร์พูล จะมีเวลาว่างกว่า 2 สัปดาห์เนื่องจากไม่มีโปรแกรมลงสนามตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์นี้ไปจนกระทั่งจบช่วงฟีฟ่าเดย์ ซึ่งแน่นอนว่าคงทำให้ทัพ "หงส์แดง" ได้มีเวลาฟื้นฟูช่วงเวลาที่ย่ำแย่ของทีม แต่กระนั้น นายใหญ่ชาวเยอรมัน ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ เพราะต้องขบคิดเรื่องการเรียกความมั่นใจของลูกทีมกลับมา, การปรับแท็คติกเพื่อให้เหมาะกับแต่ละเกมที่แตกต่าง รวมไปถึงการวางแผนเพื่อต้องเจอกับโปรแกรมโคตรโหดเหมือนโกรธกันมาแต่ชาติปางก่อนหลังกลับมาแข่งเกมลีกตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน ดังนั้นช่วงเวลาต่อจากนี้ไปจนถึงวันที่ 1 เม.ย. ถือเป็นช่วงสำคัญที่อาจจะตัดสินอนาคตของ "เดอะ เร้ดส์" ว่าจะยังได้ลุ้นท็อปโฟร์ต่อไปจนจบซีซั่นหรือไม่ !!??

1. วางแผนรับมือโปรแกรมโหดหลังฟีฟ่าเดย์

หลังจากที่เดินทางกับมาจากประเทศสเปน พร้อมความเจ็บช้ำที่ไม่สามารถสร้างปาฏิหาริย์ในเกมบุกไปแพ้ เรอัล มาดริด 0-1 พร้อมตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ด้วยสกอร์รวม 2-6 ตอนนี้ ลิเวอร์พูล มีเวลาได้พักฟื้นทั้งร่างกายและจิตใจยาวกว่า 2 สัปดาห์เพราะพวกเขาไม่มีโปรแกรมลงสนามเลย

ตามโปรแกรมเดิม "หงส์แดง" มีคิวดวลกับ ฟูแล่ม ในวันเสาร์ที่ 18 มีนาคม แต่เนื่องจากทัพ "เจ้าสัวน้อย" มีเกมต้องปะทะกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึกเอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย ขณะที่ "เดอะ เร้ดส์" โบกมือลาถ้วยใบนี้ไปเรียบร้อยแล้ว ทำให้แมตช์นี้จำเป็นต้องเลื่อนการแข่งขันออกไป ซึ่งส่งผลให้ลูกทีมของคล็อปป์ได้พักยาว

อย่างไรก็ตามในช่วงเวลานี้ คล็อปป์ และทีมงานจำเป็นต้องวางแผนเตรียมรับมือกับเกมสุดหฤโหดหลังช่วงฟีฟ่าเดย์ เนื่องจากโปรแกรมที่พวกเขาจะต้องเจอในช่วง 9 วันอันตรายที่มีสิทธิ์ส่งผลต่อการลุ้นท็อปโฟร์ของทีมเลยทีเดียว

เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. ลิเวอร์พูล ต้องเดินทางไปเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งกำลังลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ที่สนามเอติฮัด สเตเดี้ยม และสี่วันหลังจากนั้น คล็อปป์ แอนด์ โค. ต้องยกพลบุกถิ่นสแตมฟอร์ด บริจด์ ปะทะ เชลซี ที่ตอนนี้ฟอร์มเริ่มกลับมาแล้ว ตบท้ายด้วยการเจอกับจ่าฝูง อาร์เซน่อล ที่แอนฟิลด์ เพียงแค่ 3 แมตช์นี้ บอกเลยว่าสามารถชี้ชะตาอนาคตของ "หงส์แดง" ว่าจะได้ไปเล่นถ้วยใบโตยุโรป ซีซั่นหน้าหรือไม่ !!

2. 17 วันไร้เกมลงเล่นมีทั้งดีและร้าย

จากที่บอกเอาไว้ในข้อแรกว่า ลิเวอร์พูล ไร้โปรแกรมลงสนามนานถึง 17 วัน แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องดีที่ทำให้นักเตะ "หงส์แดง" ได้มีเวลาปรับสภาพจิตใจและร่างกาย รวมทั้งได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองในการคิดวิเคราะห์ผลงานที่น่าผิดหวังในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามมันก็อาจมีข้อเสียเช่นกัน เพราะการไม่ได้ลงสนามอย่างจริงจัง และได้เล่นแค่การซ้อม มันอาจทำให้ร่างกายของนักเตะเกิดอาการล้าเนื่องจากไม่ได้ใช้งานอย่างเต็มที่ และพอถึงเวลาต้องลงแข่งจริงๆ ขาแข้งอาจจะยังไม่พร้อมเมื่อต้องเจอกับเกมหนัก

ยิ่งไปกว่านั้นการที่ ลิเวอร์พูล ไม่มีโปรแกรมแข่งแต่ทีมที่ลุ้นท็อปโฟร์มีเกมลงเล่นในลีกไม่ว่าจะเป็น นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, เบรนท์ฟอร์ด และเชลซี ซึ่งถ้าทุกทีมที่กล่าวมาสามารถคว้าชัยชนะในเกมของพวกเขาได้ งานนี้ "หงส์แดง" อาจจะกลับมาแข่งเกมลีกในอันดับ 7 ก็ได้

ฉะนั้นการที่ทีมไม่มีเกมให้ลงเล่น ก็ใช่ว่าบรรดาสาวก "เดอะ ค็อป" จะมีความสุข เพราะพวกเขายังต้องลุ้นให้บรรดาทีมคู่แข่งแย่งโควตายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สะดุดขาตัวเองในช่วงสัปดาห์นี้ เพื่อทำให้โอกาสในการลุ้นติด 1 ใน 4 ทีมยังคงอยู่

3. กระตุ้นความเชื่อมั่นใน เกมรับ และ เกมรุก

แน่นอนว่าการไม่มีเกมลงสนามจะช่วยทำให้บรรดานักเตะลิเวอร์พูล ได้ปรับสภาพจิตใจและร่างกาย รวมทั้งยังมีเวลาที่จะมองหาจุดบุกพร่องของพวกเขา เพื่อที่จะทำการแก้ไขก่อนที่จะหวนกลับมาลงสนามพร้อมกับเกมหฤโหดในรอบ 9 วัน

ข่าวดีสำหรับแฟนบอล "เดอะ เร้ดส์" ก็คือการที่มีรายงานว่า หลุยส์ ดิอาซ จะหายเจ็บและสามารถกลับมาลงสนามให้กับต้นสังกัดได้ในแมตช์เยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะระเบิดฟอร์มได้ทันที ต้องอย่าลืมว่า สตาร์ชาวโคลอมเบีย ไม่ได้เล่นให้ "หงส์แดง" เลยนับตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

สำหรับงานสำคัญของ คล็อปป์ ก็คือการต้องกระตุ้นความเชื่อมั่นของลูกทีมกลับมาให้ได้ในช่วง 17 วันนี้ ไม่ว่าจะเป็นแนวรับโดยเฉพาะ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ตอนนี้กลายเป็นบ่อน้ำมันให้คู่แข่งบุกมาเจาะเล่นอย่างเมามัน เช่นเดียวกับแนวรุกที่ยังไม่สามารถรักษาความสม่ำเสมอในการเล่นเอาไว้ได้

จะว่าไปแล้วการที่ คล็อปป์ จะได้ ดิอาซ กลับมา น่าจะเป็นการช่วยกระตุ้นให้แนวรุกของทีมมีความกระตือรือร้นมากขึ้น เพราะพวกเขาจำเป็นต้องแข่งขันเพื่อโอกาสได้ลงตัวจริง โดยเฉพาะ ดีโอโก้ โชต้า ที่ตอนนี้ยังไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้เลยนับตั้งแต่หายจากอาการบาดเจ็บ

4.  ใช้เวลาออกจากฟุตบอลบ้าง

การที่นักเตะลิเวอร์พูล มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับเกมฟุตบอลโดยเฉพาะกับผลงานที่ไม่น่าอภิรมย์ในช่วงที่ผ่านมา คงเป็นสิ่งที่บั่นทอนสภาพจิตใจของเหล่าขุนพล "หงส์แดง" เพราะตอนนี้มันไม่มีอะไรที่น่าจดจำ ยกเว้นเกม "แดงเดือด" ที่ถล่มยับไม่นับญาติ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 7-0  เท่านั้น !!

บรรดานักเตะของคล็อปป์ จำเป็นต้องใช้เวลากับการพักผ่อนหย่อนใจ และหันไปทำกิจกรรมอื่นๆ อย่างเช่นยิงนกตกปลา, เล่นเกม หรือทำอะไรก็ได้ที่เป็นงานสันทนาการ ที่ไม่ใช่เรื่องฟุตบอล เพราะนั่นจะทำให้พวกเขาลืมช่วงเวลาที่น่าผิดหวังไปได้บ้าง

เชื่อว่า คล็อปป์ คงปล่อยให้ลูกทีมได้ใช้เวลาอยู่กับเรื่องอื่นอย่างน้อยๆ ก็จนถึงช่วงสุดสัปดาห์นี้ (อาจจะมากกว่านั้นก็ได้) เพราะการได้ทำอย่างอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับฟุตบอล (รวมทั้งการนั่งดูเกมการแข่งขัน) น่าจะมีประโยชน์กับนักเตะทุกคนมากกว่าการจมปลักอยู่กับอดีตแย่ๆ

5. เตรียมแผน บี เอาไว้บ้าง

หลังจากที่ คล็อปป์ เข้ามากุมบังเหียนลิเวอร์พูล พวกเขามักจะเล่นแท็คติกเดิมๆ มาตลอด ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บรรดาคู่แข่งจะสามารถจับทางได้ และจัดการเล่นงานพวกเขาได้เสมอ เวลาที่โหมเปิดเกมรุกขึ้นมาในแดนคู่แข่ง

ในตอนแรกที่ นายใหญ่ชาวเยอรมัน นำระบบ "เกเก้นเพรสซิ่ง" มาให้กับยอดทีมแห่งถิ่นแอนฟิลด์ บรรดาทีมในลีกเมืองผู้ดี และพวกสโมสรที่ต้องเจอกันในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก ต่างต้องเจอกับความยากลำบากในการรับมือกับแท็คติกที่สุดโหดของ คล็อปป์

อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาพร่างกายของนักเตะในปัจจุบันที่มีหลายคนวัยโรยราไม่สามารถเล่นเพรสซิ่งได้อย่างที่ คล็อปป์ ต้องการ กอปรกับทีมคู่แข่งเริ่มจับทางสไตล์แบบนี้ได้แล้ว และสามารถตอบโต้แผนนี้ได้แบบไม่ยากเย็น ในขณะที่ "บอส" ไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้เลย

งานนี้ คล็อปป์ จำเป็นต้องมีแผนสำรองเวลาที่โดนคู่แข่งจับทางได้ ฉะนั้นเขาอาจต้องเลือกปรับระบบ 4-4-2 ที่แม้ว่ามันจะดูเก่าก็ตาม แต่บางทีในเวลานี้น่าจะเป็นสิ่งที่สามารถตอบโจทย์ นายใหญ่เลือดด๊อยท์ช ที่มีขุมกำลังจำกัด

นอกจากนี้เขาอาจจะลองหันมาใช้การเล่นแนวรับ 3 ตัว ซึ่งน่าจะทำให้เกมรับมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ขณะเดียวกันยังเป็นโอกาสที่ "หนุ่มเทรนต์" กับ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน จะได้เล่นเกมรุกแบบเต็มสตรีม ซึ่งถือเป็นอีกแท็คติกที่ คล็อปป์ น่าจะลองนำมาพิจารณา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »