ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » พรีเมียร์ลีก อังกฤษ » ลิเวอร์พูล เปิดโหมดโหดถลุง เชลซี ดับคาแอนฟิลด์

ลิเวอร์พูล เปิดโหมดโหดถลุง เชลซี ดับคาแอนฟิลด์

Posted 01/02/2024 by siamsport

ลิเวอร์พูล สร้างผลงานดีมีคุณภาพหลังเปิดรังแอนฟิลด์ จัดการไล่ต้อน เชลซี 4-1 ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันพุธที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา โดยแมตช์นี้ คอนเนอร์ แบรดลี่ย์ โชว์ฟอร์มหรูต่อเนื่องทำ 1 ประตู 2 แอสซิสต์ ขณะที่ ดาร์วิน นูนเญซ สร้างสถิติยิงชน 2 เสา 2 คานในเกมเดียว แต่ยังดีที่มี 1 แอสซิสต์ จบเกม "หงส์แดง" คว้าสามแต้มสำคัญ เก็บไปแล้ว 51 แต้ม หนีห่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ อาร์เซน่อล ทีมละ 5 คะแนน

เจอร์เก้น คล็อปป์ เดินหน้าสร้างความทรงจำสำหรับฤดูกาลสุดท้ายกับ "หงส์แดง" สำหรับแมตช์รับมือ เชลซี มีการปรับทัพจากเกมถลุง นอริช ซิติ้ ในเกมเอฟเอ คัพ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเขายังมั่นใจใช้งาน คอนเนอร์ แบรดลี่ย์ ตัวจริง และเลือก อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, โดมินิค โซโบซไล และ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ กลับมาเป็นตัวหลักอีกครั้ง ส่วน "สิงห์บลูส์"  จัดทัพหวังปราบเจ้าบ้านด้วยการส่งผู้เล่นที่ดีที่สุดนำโดย ราฮีม สเตอร์ลิง และ โคล พาลเมอร์ ลงตัวจริง

เริ่มต้นเกมทั้งสองทีมเล่นกันอย่างสูสี จนกระทั่งนาทีที่ 5 แบรดลี่ย์ เปิดบอลสวยให้ ดาร์วิน นูนเญซ วิ่งแซงแนวรับ เชลซี ได้กระดกบอลแต่เบาไปหน่อยทำให้ไม่ผ่านมือ ยอร์เย่ เปโตรวิช

อีก 4 นาทีถัดมา แม็ค อัลลิสเตอร์ ผ่านบอลอย่างงามให้ นูนเญซ ได้หลุดเข้าไปซัดเต็มข้อแต่ เปโตรวิช ปัดแค่ปลายมือข้ามคานไปอย่างหวุดหวิด

หัวหอกชาวอุรุกวัยมีโอกาสยิงหลายครั้ง จนกระทั่งนาทีที่ 17 อิบราฮิม่า โกนาเต้ เปิดบอลยาวจากแดนตัวเองมาให้ นูนเญซ หลุดเข้าไปในเขตโทษแล้วกดด้วยเท้าซ้ายแต่ติดปลายมือ เปโตรวิช ก่อนบอลชนเสาออกหลัง

ลิเวอร์พูล ยังคงเปิดเกมกดดันทีมเยือนตลอด และในนาทีที่ 23 ความมุ่งของพวกเขาก็มาประสบผลสำเร็จเมื่อ แบรดลี่ย์ ส่งบอลให้ ดีโอโก้ โชต้า เลี้ยงแหวกแนวรับ "สิงห์บลูส์" ขาดกระจุย หลุดเข้าไปส่งบอลซุกก้นตาข่าย ให้เจ้าบ้านนำ 1-0

เจ้าบ้านยังคงสร้างเกมได้ต่อเนื่อง และพยายามจะหาประตูที่สอง โดยนาทีที่ 30 เคอร์ติส โจนส์ ได้ซัดแต่ไม่ผ่านมือ เปโตรวิช ขณะที่อีกสองนาทีถัดมา "หงส์แดง" ได้ลูกฟรีคิก และ โซโบซไล ซัดไปติดกำแพง

สาวก "เดอะ ค็อป" ได้เฮกันลั่นสนามอีกครั้ง เมื่อ หลุยส์ ดิอาซ ได้บอลจากกลางสนามและส่งให้ แบรดลี่ย์ เลี้ยงเข้าไปกดด้วยเท้าขวาบอลพุ่งเสียบเสาไกลเข้าไปอย่างงดงาม ซึ่งเป็นประตูแรกในการเล่นให้ทีมชุดใหญ่ ส่งให้ต้นสังกัดนำ 2-0

ช่วงนาทีที่ 45 ฟาน ไดค์ ได้หลุดเข้าไปส่งบอลให้ โชต้า ที่จับบอลพลิกหนีแต่โดน เบอนัวต์ บาเดียชิล เหยียบเท้าทำให้ได้จุดโทษ แต่น่าเสียดายที่ นูนเญซ ดันยิงไปชนเสา หลังจากนั้นไม่มีการทำประตูเพิ่มได้จบครึ่งแรก ลิเวอร์พูล นำ 2-0

จบครึ่งแรก ลิเวอร์พูล 2 เชลซี 0

เข้าสู่นาทีที่ 51 เชลซี มีโอกาสโตกลับเร็วจากทางฝั่งขวาก่อนเปิดให้ มิไคโล มูดริก ที่วิ่งควบมาคนเดียวแต่น่าเสียดายที่ดันยิงไม่ดีบอลเหินข้ามคานแบบไม่มีลุ้น

เกมผ่านเข้าสู่ช่วง 1 ชั่วโมง โชต้า ได้บอลบริเวณหน้ากรอบเขตโทษ และส่งให้ นูนเญซ ได้โอกาสซัดแต่บอลไม่แรงเท่าไหร่ทำให้ เปโตรวิช รับเข้ามือแบบสบายๆ

นาทีที่ 64 ฟาน ไดค์ เปิดบอลยาวให้ แบรดลี่ย์ ได้โอกาสลากบอลกระชากหนีแนวรับคู่แข่ง ก่อนจะเปิดบอลราวชั่งน้ำหนักเอาไว้เมื่อเช้านี้ เข้าหัว โซโบซไล บอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย ทำให้ "เดอะ เร้ดส์" หนีห่าง 3-0

อย่างไรก็ตาม เชลซี ยังไม่ยอมแพ้ โดยพวกเขามาได้ประตูตีไข่แตกในนาทีที่ 71 เมื่อ คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู ได้โอกาสทองเข้าไปยิงผ่านมือ อลีสซง เบ็คเกอร์ เข้าไปประตูได้สำเร็จ

เข้าสู่นาทีที่ 78 เจ้าบ้านนำห่าง 4-1 เมื่อ นูนเญซ ซึ่งซัดชนเสาชนคานเป็นว่าเล่นในแมตช์นี้ โชว์ความฉลาดในการวิ่งตัดหลังแนวรับ เชลซี ก่อนหลุดไปทางฝั่งซ้าย และเปิดบอลให้ ดิอาซ จัดการปิดสกอร์ได้อย่างสุดยอด

ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ ลิเวอร์พูล พยายามครองบอลเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ เชลซี ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย จบเกม "หงส์แดง" เปิดบ้านกระซวกทีมเยือนแบบอุรา 4-1 คว้า 3 คะแนนสำคัญ ยึดจ่าฝูงอย่างเหนียวแน่น

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อลีสซง เบ็คเกอร์ - คอนเนอร์ แบรดลี่ย์ (เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ น.68), อิบราฮิมา โกนาเต้, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, โจ โกเมซ (แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน น.68 - เคอร์ติส โจนส์ (บ็อบบี้ คล้าร์ก น.82) , อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, โดมินิก โซโบซไล (ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ น. 68)  - ดีโอโก้ โชต้า (โคดี้ กัคโป น.68), ดาร์วิน นูนเญซ, หลุยส์ ดิอาซ

เชลซี (4-2-3-1) : ยอร์เย่ เปโตรวิช - อักแซล ดิซาซี่, ติอาโก้ ซิลวา, เบอนัวต์ บาเดียชิล, เบน ชิลเวลล์ (มาโล กุสโต้ น. 46) - มอยเซส ไกเซโด้ (คาร์เนย์ ชุควูเมก้า น. 66) , เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ - ราฮีม สเตอร์ลิง, คอเนอร์ กัลลาเกอร์ (คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู น.46) , โนนี่ มาดูเอเก้ (มิโคไล มูดริก น. 46) - โคล พาลเมอร์ (เชซาเร่ คาซาเด น. 85)

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »